ไฮอะซินท์
ไฮอะซินท์ | |
---|---|
![]() | |
Hyacinthus orientalis | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
ไม่ได้จัดลำดับ: | Angiosperms |
ไม่ได้จัดลำดับ: | Monocots |
อันดับ: | Asparagales |
วงศ์: | Asparagaceae |
วงศ์ย่อย: | Scilloideae |
สกุล: | Hyacinthus Tourn. ex. L. |
Species | |
Hyacinthus litwinowii |
ไฮอะซินท์ (อังกฤษ: hyacinth) หรือ ไฮอะซินทัส (อังกฤษ: hyacinthus) เป็นพืชในสกุลพืชมีหัวขนาดเล็ก เป็นพืชหลายปีออกดอกในฤดูใบไม้ผลิ[1][2] เป็นพืชดอกมีกลิ่นหอมที่อยู่ในวงศ์หน่อไม้ฝรั่ง วงศ์ย่อย Scilloideae[3] พืชสกุลนี้มีต้นกำเนิดบริเวณทางตะวันออกของบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน จากทางเหนือของประเทศบัลแกเรียไปจนถึงตอนเหนือของภูมิภาคปาเลสไตน์[4]
พวกคลัสเตอร์ลิลลี่, สคิลลา และพืชอื่น ๆ หลายชนิดที่แต่เดิมเคยถูกจัดอยู่ในวงศ์ลิลลี่ และมีดอกเป็นกลุ่มอยู่ตามก้านช่อดอกโดดยังถูกเรียกรวม ๆ ว่า "ไฮอะซินท์" ด้วย โดยไม่ควรสับสนพืชสกุลนี้กับสกุลมัสคารีหรือไฮอะซินท์พวงองุ่น
คำอธิบาย
ไฮอะซินท์เจริญขึ้นจากหัว แต่ละหัวจะสร้างใบหอกสี่ถึงหกใบและช่อเชิงลด (spike) หรือช่อกระจะ (raceme) ของดอกหนึ่งถึงสามช่อ ในสปีชีส์ไฮอะซินท์ป่า ดอกจะมีระยะห่างอย่างกว้างอย่างน้อยหนึ่งถึงสองดอกต่อช่อกระจะใน Hyacinthus litwinowii และหกถึงแปดดอกใน Hyacinthus orientalis ซึ่งมีความสูงได้ 15–20 ซม. (6–8 นิ้ว) ส่วน H. orientalis พันธุ์ปลูก จะมีความหนาแน่นของช่อเชิงลดดอกน้อยกว่าและโดยทั่วไปแล้วจะทนทานกว่า[5]
อนุกรมวิธาน
ชื่อสกุล Hyacinthus น่าจะมาจากโฌเซฟ ปิตตง เดอ ตูร์เนอฟอร์ตซึ่งถูกนำมาใช้โดยคาโรลัส ลินเนียสในปี ค.ศ. 1753[4] โดยชื่อมาจาก ὑάκινθος (hyákinthos, ฮากินโทส) ชื่อพืชในภาษากรีกโดยโฮเมอร์ ซึ่งเป็นดอกไม้ที่คาดว่าน่าจะขึ้นจากเลือดของเด็กหนุ่มในชื่อเดียวกันนี้ เนื่องจากถูกเทพเซไฟร์สังหาร[6] โดยพืชป่าแต่เดิมที่รู้จักในชื่อฮากินโทสของโฮเมอร์นั้น คือ Scilla bifolia ท่ามกลางพืชที่เป็นไปได้อื่น ๆ[7] ลินเนียสนิยามว่าสกุล Hyacinthus นั้นประกอบด้วยสปีชีส์ที่ปัจจุบันนี้อยู่ในสกุลของวงศ์ย่อย Scilloideae เช่น Muscari (เช่น Hyacinthus botryoides)[8] และ Hyacinthoides (เช่น Hyacinthus non-scriptus)[9]
Hyacinthus แต่เดิมถูกแยกไปเป็นสกุลของวงศ์ Hyacinthaceae ก่อนที่ภายหลังจะถูกจัดเข้าไปไว้ในวงศ์ลิลลี่[10]
สปีชีส์
สกุลไฮอะซินท์ประกอบด้วยสามสปีขีส์:[11]
- Hyacinthus litwinovii
- Hyacinthus orientalis - ไฮอะซินท์ดัตช์หรือไฮอะซินท์สวน
- Hyacinthus transcaspicus
หน่วยงานบางแห่งยังจัดให้ H. litwonovii และ H. transcaspicus อยู่ในสกุล Hyacinthella ด้วย ซึ่งจะทำให้ไฮอะซินท์กลายเป็นสกุลมีชนิดเดียว (monotypic)
การกระจาย
สกุลไฮอะซินท์มีที่มาอยู่ในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ประกอบด้วย ประเทศตุรกี ประเทศเติร์กเมนิสถาน ประเทศอิหร่าน ประเทศอิรัก ประเทศเลบานอน และประเทศอิสราเอล นอกจากนี้ยังมีการนำไปปลูกตามธรรมชาติอย่างกว้างขวางในพื้นที่อื่น ๆ ได้แก่ ทวีปยุโรป (ประเทศเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส ซาร์ดิเนีย อิตาลี ซิซิลี โครเอเชีย เซอร์เปีย มอนเตเนโกร บัลแกเรีย นอร์ทมาซีโดเนีย แอลเบเนีย กรีซ และไซปรัส), ประเทศเกาหลี, ทวีปอเมริกาเหนือ (สหรัฐและแคนาดา) และตอนกลางของประเทศเม็กซิโก คิวบา และเฮติ[4]
การเพาะปลูก
ไฮอะซินท์ดัตช์หรือไฮอะซินท์บ้าน (H. orientalis มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้) เป็นที่นิยมในศตวรรษที่ 18 โดยมีการนำไปปลูกในประเทศเนเธอร์แลนด์มากกว่า 2,000 พันธุ์ปลูกเพื่อการค้าขายเชิงพาณิชย์ ไฮอะซินท์นี้มีดอกที่มีกลิ่นหอมที่มีช่อเชิงลดหนาแน่น ตัวดอกมีสีแดง น้ำเงิน ขาว ส้ม ชมพู ม่วง หรือเหลือง รูปแบบที่พบได้ทั่วไป คือ ไฮอะซินท์ที่มีความทนน้อยกว่า ดอกสีน้ำเงินที่มีขนาดเล็กกว่าหรือมีกลีบดอกสีขาว คือ ไฮอะซินท์โรมัน (Roman hyacinth) ไม้ดอกพวกนี้ต้องการแสงทางอ้อมและควรรดน้ำในระดับปานกลาง
ความเป็นพิษ
หัวไฮอะซินท์มีพิษ ซึ่งส่วนหัวนั้นประกอบด้วยกรดออกซาลิก การสัมผัสหัวไฮอะซินท์ด้วยมือนั้นอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังเล็กน้อย จึงแนะนำให้สวมถุงมือเพื่อป้องกัน[12]
พืชบางชนิดในวงศ์ย่อย Scilloideae ซึ่งโดยทั่วไปเรียกว่า ไฮอะซินท์ แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสกุลไฮอะซินท์ นั้นกินได้ เช่น ไฮอะซินท์พู่ (Leopoldia comosa) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาหารในบางประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน
วัฒนธรรม
ไฮอะซินท์มักเกี่ยวข้องกับฤดูใบไม้ผลิและการเกิดใหม่ ดอกไฮอะซินท์ถูกใช้ในการจัดโต๊ะฮาร์ฟชินเพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่ของชาวเปอร์เซีย หรือ วันโนวรุซซึ่งจัดขึ้นในวิษุวัตช่วงเดือนมีนาคม โดยในภาษาเปอร์เซียเรียกไฮอะซินท์ว่า سنبل (ซันบัล)
ในธรรมเนียมของโรมันคาทอลิก ไฮอะซินท์บ้านแสดงถึงความรอบคอบ ความมั่นคง และความปรารถนาของสวรรค์ และความสงบของจิตใจ และยังเป็นเรื่องราวของไฮอะซินทัส ผู้ซึ่งมีดอกไม้ผลิออกมาหลังความตายด้วย[13]ตำนานกรีกวันหนึ่งอะพอลโลโดนลงโทษตากซุสให้ไปรับใช้บนโลกมนุษย์เป็นเวลา 1 ปี ในวันนั้น อะพอลโล ได้พบเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารัก เป็นเจ้าชายแห่งสปาต้า มีนามว่า ไฮยาซินทัส มีข่าวลือในเมืองสปาต้าว่าไฮยาซินทัสมีหน้าตาเหมือนกุลสตรีหญิงแก่ก็เลยตกหลุมรัก แต่มีเทพอีกองค์นึงมีนามว่าเซฟีรัสอยู่ด้วย แต่เขากับอิจฉาเพราะว่า เด็กหนุ่มคนนี้นั้นได้เล่นกับอะพอลโลเล่นในช่วงนั้นที่อะพอลโลได้สอนต่างๆ จนมาถึงการสอนกีฬาคือการขว้างจาน แต่ไฮยาซินทัสทำได้ดีมาก จนเขาเกิดความโกรธและเขาก็เลยต้องเป่าลมใส่ เลือกกำจัด อะพอลโล แต่บังเอิญไปโดนไฮยาซินทัส จนหัวคว่ำกับหินบาดเจ็บสาหัส แต่อะพอลโลจะพยายามช่วยแล้วแต่ไม่มีผลเพราะว่าไฮยาซินทัสได้สิ้นใจตาย และอะพอลโล เสียใจและน้ำตาของเขาจึงหยดออกมา เป็นดอกไม้ที่สวยงาม มีทั้งสีม่วง สีน้ำเงินม่วง และ สีแดง นี่คือตำนานดอกไม้ไฮยาซินเป็นอนุสรณ์แก่ความรักของ อะพอลโล และ ไฮยาซินทัส มาจนถึงทุกวันนี้
ระเบียบภาพ
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4a/Commons-logo.svg/30px-Commons-logo.svg.png)
- ไฮอะซินท์บ้านชนิดพันธุ์ป่า
- ไฮอะซินท์พันธุ์ปลูกในเทศกาลฟลอริเอดที่แคนเบอร์รา
- ไฮอะซินท์พันธุ์ปลูกในเทศกาลฟลอริเอดที่แคนเบอร์รา
- ไฮอะซินท์พันธุ์ปลูกสีขาวและสีม่วงในดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน
สี
สีของดอกไฮอะซินท์สีน้ำเงินนั้นหลากหลายกันไปตั้งแต่ "น้ำเงินกลาง"[14] สีคราม และสีม่วงน้ำเงิน ในช่วงสีนี้สามารถพบสี Persenche ได้ ซึ่งเป็นชื่อสี hyacinth hue ของอเมริกา[15] การวิเคราะห์ของสี Persenche นี้ คือ สีกรมท่า 73% สีแดง 9% และสีขาว 18%[16]
อ้างอิง
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ ไฮอะซินท์