โอเอซิส (วงดนตรี)
โอเอซิส (อังกฤษ: Oasis) เป็นวงดนตรีร็อกจากแมนเชสเตอร์ ในปี 1991 ซึ่งสมาชิกบางส่วนมาจากวง The Rain มีสมาชิกดั้งเดิมได้แก่ เลียม แกลลาเกอร์ (นักร้องนำ), พอล "โบนเฮ้ด" อาร์เธอร์ (กีต้าร์), พอล "กวิ๊กซี่" แม็คเกวียน (กีต้าร์) และ โทนี่ แม็คคารอล (กลอง) พวกเขาได้ชักชวนพี่ชายของเลียม โนล แกลลาเกอร์ (มือกีต้าร์และร้องนำ) เป็นสมาชิกลำดับที่ห้าของวง และวงก็ได้ตัดสินใจไลน์อัพจนถึงเดือนเมษายน 1995
โอเอซิส | |
---|---|
ข้อมูลพื้นฐาน | |
ที่เกิด | แมนเชสเตอร์, ประเทศอังกฤษ |
แนวเพลง | ร็อก, บริตป็อป |
ช่วงปี | ค.ศ. 1991-2009 |
อดีตสมาชิก | เลียม กัลลาเกอร์ โนล กัลลาเกอร์ พอล "โบนเฮ้ด" อาร์เธอร์ พอล "กวิ๊กซี่" แม็คเกวียน โทนี แม็คคารอล อลัน ไว้ท์ เก็ม อาร์เชอร์ แอนดี้ เบลล์ |
เว็บไซต์ | oasisinet |
โอเอซิสเซ็นสัญญาเป็นศิลปินกับสังกัดค่ายเพลงอิสระ Creation Records ในปี 1993 และปล่อยสตูดิโออัลบั้มแรกของวง Definitely Maybe (1994) ปีถัดมาทางวงก็ได้ปล่อยสตูดิโออัลบั้มลำดับที่สอง (What's the Story) Morning Glory? (1995) โทนี่ แม็คคารอล มือกลองของวงลาออกอย่างไม่ทราบสาเหตุและได้แอลัน ไวต์ มือกลองจากวงร็อคอังกฤษ Starclub เข้ามาแทนที่ ท่ามกลางการแข่งขันชิงความเป็นใหญ่ในทำเนียบเพลงชาร์จเพลงกับวงบริตป็อป เบลอสองพี่น้องตระกูลแกลลาเกอร์ให้ความสำคัญกับหนังสือพิมพ์ที่มีการเขียนข้อพิพาทสำหรับสองพี่น้องและการใช้ชีวิตที่ดูป่าเถื่อน ในปี 1997 โอเอซิสปล่อยสตูดิโออัลบั้มลำดับที่สาม , Be Here Now (1997) นับได้ว่าเป็นอัลบั้มเพลงที่ขายได้รวดเร็วนับตั้งแต่วันปล่อยอัลบั้มในวงการชาร์จเพลงอังกฤษ ความนิยมของอัลบั้มนับว่าได้เสียงตอบรับอย่างดีมากนัก แม็คเกวียน และ อาร์เธอร์ได้ลาออกจากจากวง ในปี 1999 และวงก็ได้ปล่อยอัลบั้มสตูดิโอลำดับที่สี่ Standing on the Shoulder of Giants (2000) หลังการลาออกของอาร์เธอร์และแม็คเกวียน ได้ถูกแทนที่ด้วย เจม อาเชอร์ มือกีต้าร์และฟร้อนแมนท์จากวง Heavy Stereo และแอนดี้ เบลล์มือกีต้าร์และฟร้อนแมนวง Hurricane No. 1 ซึ่งทั้งคู่ยังมีส่วนช่วยในการทัวร์คอนเสิร์ตโปรโมทอัลบั้มชุดที่ 4 และทำให้อัลบั้มชุดนี้ประสบความสำเร็จในระดับที่พึงพอใจ อัลบั้มชุดที่ห้าของพวกเขา Heathen Chemistry (2002) โนล แกลลาเกอร์มีการเข้มงวดมากขึ้นโดยสมาชิกทั้งหมดมีส่วนร่วมในการทำอัลบั้มนี้ ในปี 2004 ทางวงได้มือกลองวง The Who แซค สตาร์กี้ แทนที่แอลัน ไวต์และก็ได้วางจำหน่ายอัลบั้มชุดที่หก Don't Belive the Truth (2005) นับได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวาง[1]
หลังจากปล่อยอัลบั้มชุดที่เจ็ด Dig Out Your Soul (2008) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สตาร์กี้มือกลองก็ได้ลาออก และถูกแทนที่ด้วยคริส ชาร็อคส์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นการทัวร์คอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของวง ระหว่างการทัวร์คอนเสิร์ตของสองพี่น้องตระกูลแกลลาเกอร์ก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังจากนั้น โนล แกลลาเกอร์ประกาศชี้แจงในเดือนสิงหาคม 2009 ว่าเขาต้องการจะออกจากวงหลังจากทะเลาะกับเลียมในงานเทศกาลดนตรี[2][3][4] โดยวงที่ประกอบไปด้วยสมาชิกที่ยังคงหลงเหลืออยู่นำโดยเลียม แกลลาเกอร์ตัดสินใจที่จะทำงานดนตรีต่อโดยใช้ชื่อวง Beady Eye ก่อนที่จะยุบวงลงในปี ค.ศ. 2014 ,[5] ขณะที่โนล แกลลาเกอร์อยากทำวงดนตรีเพลงแยกออกมากซึ่งต่อมาก็คือ Noel Gallagher's High Flying Birds
โอเอซิสยังติดลำดับที่แปดในชาร์ตซิงเกิลของอังกฤษ และติดลำดับที่แปดของชาร์ตอัลบั้มอังกฤษ และได้ลำดับที่สิบห้าใน NME Awards และลำดับที่เก้าของ Q Awards และลำดับที่สี่ของ MTV Europe Music Awards และลำดับที่หกของ Brit Awards และในปี 2007 ยังได้รางวัลผลงานโดดเด่น และยังได้อัลบั้มที่ดีในช่วงสามสิบปีคัดเลือกโดย BBC Radio 2 อีกทั้งเขายังได้รับการเสนอชิงชื่อจาก รางวัลแกรมมี ถึงสามครั้ง ในปี 2009 วงมียอดขายประมาณ 70 ล้านแผ่นทั่วโลก[6] อีกทั้งวงยังได้รับการระบุในหนังสือกินเนสส์บุ๊คในปี 2010 10 วงดนตรีที่ติดชาร์จท็อปเป็นเวลายาวนาน โดยไม่มีเคยมีมาก่อนสำหรับการติดอันดับ 22 เป็นเวลา 10 สัปดาห์ของอังกฤษ กินเนสส์บุ๊คยังกล่าวว่าเป็นวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จในช่วงปี 1995 ถึง 2005 โดยกินเวลาไปถึง 765 สัปดาห์ในการติดท็อป 75 ซิงเกิลและชาร์จอัลบั้ม[7].
ประวัติ
ก่อตั้งวงและยุคเริ่มแรก : 1991 - 1992
สมาชิกบางส่วนมาจากวงดนตรี The Rain ซึ่งประกอบไปด้วย พอล แม็คเกวียน (มือเบส / กีตาร์), พอล โบนเฮ้ด อาร์เธอร์ (มือกีตาร์), โทนี่ แม็คคารอล (มือกลอง) และ คริส ฮัตตัน (ร้องนำ) ฮัตตันไม่พอใจ , อาเธอร์สนิทสนมกับเลียม แกลลาเกอร์จึงเอามาแทนที่ โดยเลียมแนะนำว่าชื่อควรจะเปลี่ยนเป็นโอเอซิส การเปลี่ยนแปลงชื่อนี้ได้แรงบันดาลใจจากโปสเตอร์ทัวร์ของวงดนตรี Inspiral Carpets ที่อยู่ในห้องของพี่ชายของเขา หนึ่งในสถานที่ทัวร์คอนเสิร์ตที่โปสเตอร์ระบุไว้คือ โอเอซิส เลซัว เซนเตอร์ ใน สวิทดอน , วิสไชน์[8]
และเป็นการเล่นโชว์ครั้งแรกของโอเอซิสในวันที่ 18 สิงหาคม 1991 ในคลับบอร์ดว็อก ที่แมนเชสเตอร์ เลียมน้องชายของโนล แกลลาเกอร์ ยังเป็นเด็กยกเครื่องดนตรีให้กับวง Inspiral Carperts โนลต้องการดูผลงานการเล่นของน้องชาย โนลและเพื่อนของเขาคิดว่าโอเอซิสยังทำได้ไม่ดี เขาเริ่มคิดท่าทางเป็นไปได้จะอยู่วงดนตรีของน้องเขาเองซึ่งเป็นทางออกที่ดีสำหรับผลงานชุดเพลงของเขาที่เขาแต่งเนื้อเพลงเป็นเวลาหลายปี โนลเข้าวงโอเอซิสและเขาก็ได้รับการคัดเลือกจากสมาชิกในวงให้เป็นนักแต่งเพลงและเป็นหัวหน้าวง และพวกเขาก็เริ่มที่จะแสวงหารายให้กับวง เขาเขียนเพลงมากมาย อาร์เธอร์เล่า เมื่อเขาอยู่ในวงเดียวกับพวกเรา เขาเหมือนจรวด ในทันตาเขาเต็มไปด้วยความคิด[9] โอเอซิสภายใต้ โนล แกลลาเกอร์ มีฝีมือดนตรีที่เรียบง่ายกับอาร์เธอร์และแม็คเกวียนพวกเขาต่างเริ่มกันเล่นคอร์ดกีตาร์และบันทึกเสียงเบส แม็คคารอลก็เริ่มศึกษาจังหวะพื้นฐานของโน้ต โอเอซิสสร้างเสียงเพลง ที่เต็มด้วยไปด้วยความซับซ้อนแต่แฝงไปด้วยความสวยงามมากมาย[10]
Definitely Maybe: 1993–1994
หลังจากเริ่มแสดงสดมาได้ปีกว่า , พวกเขาก็หมั่นฝึกซ้อมและเริ่มอัดเพลงเดโม่ (ซึ่งต่อมาก็คือเทปเดโม Live Demonstration) และวงก็เงียบพักหายไปช่วงพฤษภาคม 1993 จนพวกเขาถูกอแลน แม็คจีผู้บริหารค่ายเพลง Creation Records โอเอซิสถูกชักชวนให้ไปเล่นในคลับ King Tut's Wah Wah Hut ใน กลาสโกว์ , สก็อตแลนด์ โดยวง Sister Lovers พวกเขายังแบ่งบันไปให้ใช้ห้องอัดของพวกเขาได้ , โอเอซิสพร้อมกับกลุ่มเพื่อน , พวกเขาหาเงินที่จะเช่ารถตู้ได้ที่สามารถเดินทางไปกลาสโกว์ เมื่อเขามาถึง , พวกเขาถูกปฏิเสธหน้าทางเข้าเนื่องจากพวกเขาไม่อยู่ในรายชื่อ และมีรายงานว่าโอเอซิสเกิดทะเลาะที่ไม่ได้เข้าไปข้างใน (ทั้งสองวงรวมทั้ง เอ็มจีได้แถลงการณ์เกี่ยวกับความแข้งแย้งเกี่ยวกับพวกเขาที่ต้องการเข้าไปข้างในคลับ[11] พวกเขาได้เล่นเป็นวงเปิดพวกเขาประทับใจเอ็มจีอย่างมาก โดยเขาอยู่ที่นั่นเพื่อดูวง 18 Wheeler หนึ่งในวงดนตรีของพวกเขา , ในคืนนั้น เอ็มจีรู้สึกประทับใจอย่างมากกับการเล่นโชว์ , โดยเขาเสนอให้ยอมรับข้อตกลง , แต่เขาก็ไม่ได้เซ็นสัญญาจนหลายเดือนต่อมา[12] และมีปัญหากับความปลอดภัยกับข้อตกลงของชาวอเมริกัน เอ็มจี โอเอซิสได้ข้อสรุปด้วยการเซ็นสัญญาเป็นศิลปินกับ โซนี่ ซึ่งต่อมาได้รับการอนุญาตเป็นศิลปินใน Creation Records ในสหราชอาณาจักรในเวลาต่อมา [13] หลังจากนั้นพวกเขาได้ปล่อยแผ่นเสียง White Label [14] เดโม่เพลง Columbia , ผลงานเพลงซิงเกิลแรก Supersonic ถูกวางจำหน่ายในเดือนเมษายน 1994 ติดอันดับที่ 31 ในชาร์จเพลงของสหราชอาณษจักร[15] หลังจากนั้นก็ได้ปล่อยซิงเกิลที่ 2 Shakermaker ประสบความสำเร็จแต่โอเอซิสถูกฟ้องร้องโดย โรเจอร์ คุกส์ , โรเจอร์ กรีนอะเวย์ , บิล เบคเกอร์ , บิลลี่ เดวิดที่มีดนตรีละม้ายคล้ายคลึงกับเพลง I'd Like To Teach The World To Sing จากวงดนตรี The New Seekers[16] โดยโอเอซิสได้จ่ายค่าเสียหายไปจำนวน 500,000 ดอลลาห์ ซิงเกิลที่สามของพวกเขา Live Forever เป็นเพลงแรกของพวกเขาที่ติดหนึ่งในสิบในชาร์จของสหราชอาณาจักร หลังจากที่มีปัญหาในการอัดเพลง , ผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดแรก Definitely Maybe ถูกวางจำหน่ายเมื่อเดือนกันยายน 1994 และขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในชาร์จสหราชอาณาจักรและกลายเป็นอัลบั้มเปิดตัวชุดแรกที่ขายได้อย่างรวดเร็วในสหราชอาณาจักร[17]
นับว่าเป็นปีที่มีการแสดงสดและการอัดเพลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีการใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟื่อย มีการโทรเข้าหาวงจำนวนมาก พวกเขาได้ทำงานในลอส แองเจอลิสในเดือนกันยายน 1994 และนำไปสู่การแสดงของเลียม แกลลาเกอร์ที่ไม่เหมาะในระหว่างที่เขาเห็นความน่ารังเกียจของผู้ชมชาวอเมริกันและเลียมก็ตีโนลด้วยกลอง[18] เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้โนลเกิดอารมณ์เสียและทำให้เขาลาออกจากวงอย่างชั่วคราวหลังจากนั้นก็โนลก็บินไปยังซานฟรานซิสโก (ซึ่งต่อมาโนลได้นำไปแต่งเป็นเพลง Talk To Night)