โรคหวัด

โรคติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจส่วนบนที่พบได้ทั่วไป

คอหอยส่วนจมูกอักเสบเฉียบพลัน หรือโรคเยื่อจมูกและลำคออักเสบเฉียบพลัน (อังกฤษ: Acute nasopharyngitis) เรียกโดยทั่วไปว่า โรคหวัด หรือ ไข้หวัด (อังกฤษ: Common cold) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจส่วนบนที่กระทบต่อจมูกเป็นหลัก ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการหลังรับเชื้อมาเป็นเวลาไม่เกิน 2 วัน[6] อาการของโรคมีทั้งไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล และไข้[3][4] ซึ่งมักหายไปเองในเจ็ดถึงสิบวัน[3] แต่บางอาการอาจอยู่ได้นานถึงสามสัปดาห์[7] ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม ตามมาได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว[3]

โรคหวัด
ชื่ออื่นCold, acute viral nasopharyngitis, nasopharyngitis, viral rhinitis, rhinopharyngitis, acute coryza, head cold,[1] upper respiratory tract infection (URTI)[2]
ภาพแสดงพื้นผิวในระดับโมเลกุลของไรโนไวรัสชนิดหนึ่ง
สาขาวิชาโรคติดเชื้อ
อาการไอ, เจ็บคอ, น้ำมูกไหล, มีไข้[3][4]
ภาวะแทรกซ้อนส่วนใหญ่ไม่มี แต่บางครั้งอาจเกิดหูชั้นกลางอักเสบ, ไซนัสอักเสบ, ปอดอักเสบ และติดเชื้อ[5]
การตั้งต้นประมาณ 2 วันหลังรับเชื้อ[6]
ระยะดำเนินโรค1–3 สัปดาห์[3][7]
สาเหตุไวรัส (มักเป็นไรโนไวรัส)[8]
วิธีวินิจฉัยขึ้นอยู่กับอาการ
โรคอื่นที่คล้ายกันเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้, หลอดลมอักเสบ, โรคไอกรน, ไซนัสอักเสบ[5]
การป้องกันล้างมือ, สวมหน้ากากอนามัย, รักษามารยาทในการไอ, อยู่ให้ห่างจากผู้ป่วย[3][9]
การรักษารักษาตามอาการ,[3] สังกะสี[10]
ยาNSAIDs[11]
ความชุก2–3 ครั้งต่อปี (ผู้ใหญ่); 6–8 ครั้งต่อปี (เด็ก)[12]

มีไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคหวัดมากกว่า 200 โดยไรโนไวรัส ไวรัสโคโรนา, อะดีโนไวรัส และเอนเทอโรไวรัสเป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด[13] ติดต่อจากคนสู่คนผ่านการสูดอากาศที่มีเชื้อไวรัสเข้าไปเมื่อยู่ใกล้กับผู้ป่วย หรือติดทางอ้อมผ่านการเอามือสัมผัสวัตถุที่มีเชื้อติดอยู่ แล้วเอามือนั้นเข้าปากหรือจมูก[3] ปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคได้ง่ายได้แก่ การเป็นเด็กที่อยู่ในศูนย์เลี้ยงเด็ก การพักผ่อนน้อย และความเครียดทางจิตใจ เป็นต้น[6] ส่วนใหญ่อาการเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อมากกว่าการทำลายเนื้อเยื่อจากไวรัสเอง[14] ไข้หวัดใหญ่เป็นอีกโรคที่มีอาการคล้ายคลึงกับโรคหวัด แต่จะมีอาการรุนแรงกว่า และไม่ค่อยทำให้มีน้ำมูก[6][15]

ยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคหวัด[3] การล้างมือเป็นวิธีการป้องกันหลัก รวมไปถึงการไม่เอามือที่ยังไม่ได้ล้างมาสัมผัสตา จมูก ปาก และการหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย[3] หลักฐานบางชิ้นสนับสนุนประสิทธิภาพของการสวมหน้ากากอนามัย[9] โรคหวัดไม่มีวิธีรักษาจำเพาะ แต่สามารถรักษาตามอาการได้[3] การเสริมแร่ธาตุสังกะสีอาจลดระยะเวลาของการเจ็บป่วยได้ หากเริ่มกินในช่วงแรกที่แสดงอาการ[10] อาจสามารถบรรเทาอาการปวดได้ด้วยยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์[11] ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะหวัดทั้งหมดเกิดจากไวรัส[16] และยังไม่มีหลักฐานที่มีคุณภาพดีมาสนับสนุนว่ายาแก้ไอมีประโยชน์[6][17]

โรคหวัดเป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่พบบ่อยที่สุดในมนุษย์[18] และอยู่คู่กับมนุษยชาติมาแต่โบราณ[19] ผู้ใหญ่ติดโรคหวัดโดยเฉลี่ยสองถึงสามครั้งต่อปี ขณะที่เด็กโดยเฉลี่ยติดโรคหวัดระหว่างหกถึงแปดครั้งต่อปี[8][12] ในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวจะพบผู้ป่วยโรคหวัดบ่อยกว่าปกติ[3]

อาการและอาการแสดง

อาการทั่วไปของโรคหวัดมีทั้งไอ น้ำมูกไหล คัดจมูก และเจ็บคอ บางครั้งอาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อ ความล้า ปวดศีรษะและสูญเสียความอยากอาหาร ในผู้ป่วยโรคหวัด 40% พบอาการเจ็บคอ[20] และ 50% พบอาการไอ[8] ขณะที่อาการปวดกล้ามเนื้อพบในผู้ป่วยราวครึ่งหนึ่ง[4] ผู้ป่วยในวัยผู้ใหญ่มักไม่พบอาการไข้ แต่พบทั่วไปในทารกและเด็ก[4] อาการไอมักไม่รุนแรงนักเมื่อเทียบกับไข้หวัดใหญ่[4] ขณะที่อาการไอและไข้ในผู้ใหญ่มีแนวโน้มบ่งชี้ไข้หวัดใหญ่มากกว่า แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากระหว่างโรคหวัดกับไข้หวัดใหญ่[21] ไวรัสหลายชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคหวัดยังอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อไร้อาการ[22][23] สีของเสมหะอาจมีได้ตั้งแต่ไม่มีสีไปจนถึงเหลือง เขียว และไม่บ่งชี้ถึงประเภทของตัวที่กระทำให้เกิดการติดเชื้อ[24]

การลุกลาม

ตามปกติโรคหวัดเริ่มต้นจากความเหนื่อยล้า รู้สึกหนาวสะท้าน จามและปวดศีรษะ ตามด้วยอาการน้ำมูกไหลและไอหลายวัน[20] อาการอาจเริ่มขึ้นใน 16 ชั่วโมงนับแต่การสัมผัส[25] และมักมีอาการรุนแรงที่สุดสองถึงสี่วันหลังเริ่มมีอาการ[4][26] โดยปกติอาการจะหายไปเองในเจ็ดถึงสิบวัน แต่บางรายสามารถมีอาการได้นานถึงสามสัปดาห์ 35-40% ของผู้ป่วยเด็กมีอาการไอนานกว่า 10 วัน[7] และ 10% ของผู้ป่วยเด็กมีอาการไอนานกว่า 25 วัน[27]

สาเหตุ

ไวรัส

โรคหวัดเป็นการติดเชื้อไวรัสของทางเดินหายใจส่วนบน ไวรัสที่พบมากที่สุด คือ ไรโนไวรัส (30-80%) ซึ่งเป็นพิคอร์นาไวรัสที่มีเซโรไทป์รู้จักกัน 99 ชนิด[28][29] ไวรัสชนิดอื่นมีโคโรนาไวรัส (10-15%) ฮิวแมนพาราอินฟลูเอ็นซาไวรัส ไวรัสเรสไพราทอรีซินไซเตียล อะดีโนไวรัส เอนเทอโรไวรัสและเมตะนิวโมไวรัส[30] บ่อยครั้งที่ไวรัสมากกว่าหนึ่งชนิดก่อให้เกิดโรค[31] รวมทั้งสิ้นแล้ว มีไวรัสกว่า 200 ชนิดที่เกี่ยวข้องกับโรคหวัด[4]

การแพร่เชื้อ

ไวรัสโรคหวัดโดยปกติแพร่เชื้อผ่านละอองจากอากาศ (ละอองลอย) การสัมผัสโดยตรงกับสิ่งคัดหลั่งทางจมูกที่ติดเชื้อ หรือวัตถุที่เป็นพาหะนำเชื้อ (fomite)[8][32] แต่ยังไม่มีการระบุว่า ทางใดมีความสำคัญที่สุด แต่การสัมผัสมือต่อมือ และมือต่อพื้นต่อมือเหมือนจะสำคัญกว่าการติดต่อผ่านละอองลอย[33] ไวรัสอาจมีชีวิตอยู่รอดเป็นเวลานาน มนุษย์ใช้มือหยิบจับไวรัสแล้วนำเข้าสู่ดวงตาหรือจมูกซึ่งเป็นที่เกิดการติดเชื้อ[32] การแพร่เชื้อพบทั่วไปในสถานรับเลี้ยงเด็กและที่โรงเรียนเนื่องจากความใกล้ชิดของเด็กจำนวนมากซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำและมักมีอนามัยเลว จากนั้น สมาชิกครอบครัวคนอื่นเป็นผู้นำเชื้อเหล่านี้กลับมาบ้าน[34] ไม่มีหลักฐานว่า อากาศที่ไหลเวียนอยู่ในเที่ยวบินพาณิชย์เป็นวิธีการแพร่เชื้อ[32] อย่างไรก็ตาม บุคคลที่นั่งใกล้ชิดดูเหมือนจะมีความเสี่ยงสูงกว่า[33] โรคหวัดที่เกิดจากไรโนไวรัสติดเชื้อได้มากที่สุดระหว่างสามวันแรกของอาการ แต่จะติดเชื้อน้อยลงมากหลังจากนั้น[35]

ลมฟ้าอากาศ

ทฤษฎีชาวบ้านดั้งเดิมมีว่า โรคหวัดสามารถ "ติด" ได้จากการสัมผัสอากาศหนาวเป็นเวลานาน เช่น สภาพฝนตกหรือฤดูหนาว จึงเป็นที่มาของชื่อโรค cold ในภาษาอังกฤษ[36] บทบาทการเย็นตัวของร่างกายเป็นปัจจัยเสี่ยงโรคหวัดนั้นยังถกเถียงกันอยู่[37] ไวรัสบางชนิดที่เป็นเหตุของโรคหวัดมีตามฤดูกาล ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยกว่าในอากาศที่หนาวหรือเปียก[38] บางคนเชื่อว่า การติดโรคหวัดเป็นเพราะการอาศัยอยู่ในที่ร่มใกล้กับผู้ที่ติดเชื้อดังกล่าวเป็นระยะเวลานาน[39] โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่กลับจากโรงเรียน[34] อย่างไรก็ดี โรคหวัดยังอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินหายในที่ส่งผลให้มีความไวเพิ่มขึ้น[39] ความชื้นที่ต่ำสามารถเพิ่มอัตราการแพร่เชื้อไวรัสได้เนื่องจากอากาศแห้งทำให้ละอองไวรัสขนาดเล็กกระจายไปไกลขึ้นและอยู่ในอากาศนานขึ้น[40]

อื่น ๆ

ภูมิคุ้มกันหมู่ที่เกิดจากการติดไวรัสไข้หวัดก่อนหน้านี้ มีบทบาทสำคัญในการจำกัดการแพร่ของไวรัส โดยสังเกตจากประชากรที่อายุน้อยมีอัตราการติดเชื้อทางเดินหายใจสูงกว่าประชากรอายุมาก[41] ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำงานไม่ดียังเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหวัด[41][42] การนอนหลับไม่เพียงพอและทุพโภชนาการเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงการติดเชื้อหลังสัมผัสไรโนไวรัสที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดจากผลของมันต่อการทำงานของภูมิคุ้มกัน[43][44]

พยาธิสรีรวิทยา

โรคหวัดเป็นโรคของทางเดินหายใจส่วนบน

อาการของโรคหวัดเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันสนองต่อไวรัสเป็นหลัก[14] กลไกการตอบสนองของภูมิคุ้มกันนี้จำเพาะต่อไวรัส ตัวอย่างเช่น ไรโนไวรัสติดต่อผ่านการสัมผัส ตัวเชื้อจะจับกับ ICAM-1 รีเซพเตอร์ของผู้ป่วย (ผ่านกลไกที่ยังไม่ทราบแน่ชัด) แล้วกระตุ้นการปลดปล่อยสารตัวกลางการอักเสบ (inflammatory mediators)[14] จากนั้น สารตัวกลางการอักเสบเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการ[14] โดยตัวไวรัสมิได้ก่อความเสียหายแก่เยื่อบุจมูกแต่อย่างใด[4] ตรงข้ามกับไวรัสเรสไพราทอรีซินไซเตียล (RSV) ซึ่งติดต่อทั้งผ่านการสัมผัสโดยตรงและละอองจากอากาศ ไวรัสจะแบ่งตัวในจมูกและลำคอก่อนจะแพร่กระจายลงสู่ทางเดินหายใจส่วนล่าง[45] และทำให้เกิดความเสียหายโดยตรงต่อเซลล์เยื่อบุ[45] ไวรัสพาราอินฟลูเอนซาส่งผลให้เกิดการอักเสบในจมูก ลำคอและหลอดลม[46] หากเด็กเล็กติดเชื้อเกิดท่อลม (trachea) อักเสบอาจทำให้เกิดอาการของโรคกล่องเสียงอักเสบอุดกั้น (croup) ได้ เพราะทางเดินหายใจมีขนาดเล็ก[46]

การวินิจฉัย

การติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจส่วนบนชนิดต่าง ๆ แยกได้คร่าว ๆ จากตำแหน่งของอาการ จมูกได้รับผลกระทบเป็นหลักในโรคหวัด ลำคอได้รับผลกระทบเป็นหลักในโรคคอหอยอักเสบ และปอดได้รับผลกระทบเป็นหลักในโรคหลอดลมอักเสบ[8] กระนั้นบริเวณที่ได้รับผลกระทบอาจทับซ้อนกันอย่างมีนัยสำคัญและเกิดได้หลายบริเวณ[8] บ่อยครั้ง โรคหวัดนิยามว่าเป็นจมูกอักเสบโดยมีปริมาณการอักเสบของลำคอต่าง ๆ กัน[47] พบการวินิจฉัยด้วยตนเองประจำ[4] แต่แทบไม่เคยมีการแยกแยะตัวกระทำไวรัสที่เกี่ยวข้องแท้จริง[47] และโดยทั่วไปก็ไม่สามารถระบุประเภทของไวรัสจากอาการได้[4]

การป้องกัน

การป้องกันโรคหวัดที่มีประสิทธิภาพเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสทางกายภาพ[9] เช่น การล้างมือ, การให้ผู้ป่วยสวมหน้ากากอนามัยปิดปากและจมูกเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสที่อยู่ในน้ำมูกและน้ำลาย, และ การใช้เสื้อกาวน์และถุงมือยางในโรงพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุข[9]

การควบคุมโรคโดยการกักกันเป็นไปได้ยาก เพราะผู้ป่วยอาจมีอาการไม่จำเพาะและแทรกอยู่ในประชากรทำให้ไม่สามารถแยกแยะผู้ป่วยออกมาได้ การให้วัคซีนจะได้ผลค่อนข้างจำกัด เนื่องจากเชื้อไวรัสหวัดมีหลายสายพันธุ์และมีวิวัฒนาการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว[9] การสร้างวัคซีนให้ครอบคลุมเชื้อหวัดในวงกว้างจึงทำได้ยาก[48]

การล้างมือเป็นประจำช่วยลดการส่งผ่านไวรัสอย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในเด็ก[49] ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าการเพิ่มยาต้านไวรัสหรือสารต้านแบคทีเรียในน้ำยาล้างมือมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันโรค[49] การสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ใกล้กับผู้ติดเชื้อช่วยลดโอกาสการติดเชื้อ ทั้งนี้ต้องทำควบคู่กับการสวมหน้ากากอนามัยโดยตัวผู้ป่วยเองซึ่งมีประสิทธิภาพลดการแพร่กระจายเชื้อที่ดีกว่า ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการรักษาระยะห่างทางสังคมที่มากกว่านี้จะมีผลดีกว่า[49]

การเสริมธาตุสังกะสีอาจมีผลช่วยลดอัตราการติดเชื้อโรคหวัด[50] การเสริมวิตามินซีไม่ช่วยลดความเสี่ยงหรือความรุนแรงของโรคหวัดแต่อาจทำให้หายจากโรคหวัดได้เร็วขึ้น[51]

การรักษา

ยังไม่มียาหรือสมุนไพรใด ๆ ที่มีหลักฐานยืนยันได้ว่าสามารถลดระยะเวลาของการติดเชื้อได้[52] ดังนั้นการรักษาจึงประกอบด้วยการบรรเทาอาการ[12] การพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ และกลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น เป็นวิธีรักษาแบบอนุรักษ์ที่สมเหตุสมผล[30] อย่างไรก็ดี ประโยชน์ที่เห็นจากการรักษาเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ยาหลอกเสียมาก[53]

ตามอาการ

การรักษาที่ช่วยบรรเทาอาการ รวมถึง ยาระงับปวดและยาลดไข้ อย่างไอบูโปรเฟน[54]และอะเซตามีโนเฟน/พาราเซตามอล[55] หลักฐานมิได้แสดงว่ายาแก้ไอมีประสิทธิภาพมากกว่ายาลดไข้แต่อย่างใด[56] และไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กเพราะขาดหลักฐานสนับสนุนประสิทธิภาพและอาจเกิดอันตรายได้[57][58] ในปี 2552 แคนาดาจำกัดการใช้ยาแก้ไอและหวัดโดยไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ในเด็กอายุหกปีหรือต่ำกว่า เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์[57] ในผู้ใหญ่ มีหลักฐานสนับสนุนการใช้ยาแก้ไอไม่เพียงพอ[59] การใช้เดกซ์โทรเมทอร์แฟน (ยาแก้ไอชนิดหนึ่งหาซื้อโดยตรงได้ทั่วไป) ในทางที่ผิด นำไปสู่การห้ามใช้ในหลายประเทศ[60]

ในผู้ใหญ่ อาการน้ำมูกไหลสามารถลดได้จากสารต้านฮิสทามีนรุ่นแรก อย่างไรก็ดี สารเหล่านี้มีผลเสีย เช่น ความง่วง[12] ยาลดน้ำมูกอื่นอย่างซูโดอีเฟดรีน ยังมีประสิทธิภาพในประชากรนี้ด้วย[61] ยาพ่นจมูกไอพราโทรเปียมอาจลดอาการน้ำมูกไหล แต่มีผลเล็กน้อยกับการคัดจมูก[62] ส่วนสารต้านฮิสทามีนรุ่นที่สองนั้นไม่ปรากฏว่ามีประสิทธิภาพ[63]

เนื่องจากยังขาดการศึกษา จึงไม่ทราบว่าการรับของเหลวเข้าไปเพิ่มขึ้นจะเพิ่มอาการหรือย่นระยะเวลาการเจ็บป่วยของระบบหายใจ[64] และการขาดข้อมูลที่คล้ายกันยังมีสำหรับการใช้ที่ถูกทำให้ชื้นและร้อน[65] การศึกษาหนึ่งพบว่า การนวดหน้าอก (chest vapor rub) มีประสิทธิภาพบรรเทาอาการไอกลางคืน การคั่งและนอนหลับยากลงได้บ้าง[66]

ปฏิชีวนะและต้านไวรัส

ยาปฏิชีวนะรักษาโรคติดเชื้อไวรัสไม่ได้ ฉะนั้นจึงไม่มีผลต่อโรคหวัดซึ่งเกิดจากไวรัสเช่นกัน[67] ทั้งนี้เมื่อพิจารณาว่าการใช้ยาปฏิชีวนะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียง ดังนั้นการใช้ยาปฏิชีวนะในโรคหวัดในภาพรวมจึงทำให้เกิดผลเสียมากกว่า กระนั้น ก็ยังมีการจ่ายยาบ่อยครั้ง[67][68] สาเหตุบางประการที่ทำให้มีการจ่ายยาปฏิชีวนะบ่อยครั้งเป็นเพราะประชาชนคาดหวังว่ามาพบแพทย์แล้วต้องได้ยา แพทย์รู้สึกอยากทำอะไรสักอย่าง และการคัดภาวะแทรกซ้อนออกที่อาจได้ประโยชน์จากการให้ยาปฏิชีวนะทำได้ยาก[69] ไม่มียาต้านไวรัสใดที่ยืนยันได้ว่ามีประสิทธิภาพแก่โรคหวัด แม้จะมีงานวิจัยขั้นต้นบางชิ้นที่ศึกษาพบว่าอาจมีประโยชน์ก็ตาม[12][70]

การรักษาทางเลือก

แม้จะมีการรักษาทางเลือกหลายอย่างที่ใช้กับโรคหวัด แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนการใช้การรักษาทางเลือกส่วนมากเพียงพอ[12] จนถึงปี 2553 มีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะแนะนำให้หรือไม่ให้ใช้น้ำผึ้งหรือการล้างจมูก[71][72] มีการศึกษาเสนอว่า หากให้สังกะสีภายใน 24 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ จะสามารถลดช่วงเวลาและความรุนแรงของโรคหวัดในผู้มีสุขภาพดี[50] อย่างไรก็ดีการศึกษาในเรื่องเดียวกันชิ้นอื่น ๆ ให้ผลที่แตกต่างกันออกไป จึงยังต้องรอการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาว่าสังกะสีจะมีประโยชน์อย่างไร และควรให้เมื่อไร[73] ผลกระทบของวิตามินซีต่อโรคหวัดนั้น แม้จะมีการศึกษาวิจัยมานาน แต่ก็ไม่มีผลลัพธ์ที่น่าพอใจ จะได้ผลเฉพาะในเพียงบางภาวะเท่านั้น เช่น ในผู้ป่วยไข้หวัดที่ออกกำลังกายให้ชีพจรเข้าเป้าในอากาศเย็น[51][74] หลักฐานเกี่ยวกับประโยชน์ของอิชิเนเซียนั้นขัดกัน[75][76] การเสริมอิชิเนเซียประเภทต่าง ๆ อาจมีประสิทธิภาพแตกต่างกัน[75] ยังไม่ทราบกันว่ากระเทียมมีประสิทธิภาพหรือไม่[77] การทดสอบวิตามินดีครั้งเดียวยังไม่พบประโยชน์[78]

การพยากรณ์โรค

โรคหวัดโดยทั่วไปไม่รุนแรงและหายได้เอง อาการส่วนมากโดยทั่วไปจะดีขึ้นในหนึ่งสัปดาห์[18] ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงนั้นเกิดขึ้นน้อย และถ้าเกิด มักเกิดในผู้สูงอายุมาก ๆ เด็กเล็กมาก ๆ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง[18] ผู้ป่วยบางรายอาจติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนทำให้เกิดโพรงอากาศอักเสบ (ไซนัสอักเสบ) คอหอยอักเสบ หรือหูชั้นกลางอักเสบได้[79] มีการประมาณเอาไว้ว่าผู้ป่วยที่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคหวัดเหล่านี้ 8% เกิดโพรงอากาศอักเสบ และ 30% เกิดหูชั้นกลางอักเสบ[80]

วิทยาการระบาด

โรคหวัดเป็นโรคของมนุษย์ที่พบมากที่สุด[18] และทุกคนบนโลกล้วนได้รับผลกระทบ[34] ตามแบบผู้ใหญ่มีการติดเชื้อสองถึงห้าครั้งต่อปี[8][4] และเด็กอาจเป็นโรคหวัดหกถึงสิบครั้งต่อปี ซึ่งอาจมากถึงสิบสองครั้งต่อปีสำหรับเด็กที่เรียนในโรงเรียน[12] อัตราการติดเชื้อมีอาการเพิ่มขึ้นในวัยสูงอายุเพราะระบบภูมิคุ้มกันที่เสื่อมลง[41]

ประวัติศาสตร์

ขณะที่สาเหตุของโรคหวัดเพิ่งจะมีการระบุเพียงตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา แต่โรคหวัดอยู่คู่กับมนุษยชาติมาแต่โบราณ[81] อาการและการรักษาโรคหวัดมีอธิบายในปาปิรุสอีเบอร์ (Papyrus Ebers) ของอียิปต์ ข้อความทางการแพทย์เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีอยู่ เขียนขึ้นก่อนศตวรรษที่ 16 ก่อนคริสตกาล[82] ชื่อ "common cold" มีใช้ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เนื่องจากความคล้ายกันระหว่างอาการกับการสัมผัสอากาศเย็น[83]

ในสหราชอาณาจักร หน่วยโรคหวัดถูกตั้งขึ้นโดยสภาวิจัยการแพทย์ในปี 2489 และมีการค้นพบไรโนไวรัสที่นั่นเองในปี 2499[84] ในคริสต์ทศวรรษ 1970 หน่วยโรคหวัดสาธิตว่าการรักษาด้วยอินเตอร์เฟียรอนระหว่างระยะฟักของการติดเชื้อไรโนไวรัสป้องกันต่อโรคบ้าง[85] แต่ไม่สามารถพัฒนาการรักษาภาคปฏิบัติ หน่วยดังกล่าวถูกปิดในปี 2532 สองปีหลังเสร็จสิ้นการวิจัยยาอมซิงค์กลูโคเนตในการป้องกันโรคและการรักษาโรคหวัดไรโนไวรัส เป็นการรักษาที่ประสบความสำเร็จครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของหน่วย[86]

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

ใบปิดประกาศของอังกฤษสมัยสงครามโลกครั้งที่สองอธิบายราคาของโรคหวัด[87]

ยังไม่เป็นที่เข้าใจดีในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจของโรคหวัด[80] ในสหรัฐอเมริกา โรคหวัดทำให้มีการพบแพทย์ 75–100 ล้านครั้งต่อปี โดยประเมินราคาเบื้องต้น 7,700 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี ชาวอเมริกันใช้เงิน 2,900 ล้านดอลล่าร์สหรัฐไปกับยาที่ไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์และอีก 400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐไปกับยาตามใบสั่งเพื่อบรรเทาอาการ[88] กว่าหนึ่งในสามของผู้ที่มาพบแพทย์ได้รับใบสั่งยาปฏิชีวนะ ซึ่งส่อว่าอาจมีการดื้อยาปฏิชีวนะเกิดขึ้นได้[88] มีการประเมินว่ามีการขาดเรียน 22–189 ล้านวันทุกปีเนื่องจากโรคหวัด ผลคือ ผู้ปกครองเสียวันทำงาน 126 ล้านวันเพื่ออยู่บ้านดูแลบุตรของตน เมื่อรวมกับวันทำงานอีก 150 ล้านวันที่ลูกจ้างป่วยเป็นโรคหวัด ผลกระทบความสูญเสียทางเศรษฐกิจรวมของงานที่เกี่ยวข้องกับโรคหวัดเกิน 20,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี[30][88] ซึ่งคิดเป็น 40% ของเวลาทำงานที่เสียไปในสหรัฐอเมริกา[89]

การวิจัย

มีการทดสอบประสิทธิภาพของยาต้านไวรัสกับโรคหวัด อย่างไรก็ดี จนถึงปี 2552 ไม่มียาตัวใดที่ทั้งพบว่ามีประสิทธิภาพและได้รับอนุญาตให้ใช้[70] ปัจจุบันกำลังมีการทดสอบยาต้านไวรัสพลีโคนาริล ซึ่งค่อนข้างประสบความสำเร็จต่อพิคอร์นาไวรัส เช่นเดียวกับการทดสอบ BTA-798[90] พลีโคนาริลแบบรับประทานมีปัญหาด้านความปลอดภัย และแบบละอองลอยกำลังอยู่ระหว่างการศึกษา[90]

ดราโค (DRACO) ยาต้านรีโทรไวรัสที่มีขอบเขตในการออกฤทธิ์กว้าง ที่กำลังพัฒนาที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ แสดงประสิทธิภาพเบื้องต้นในการรักษาไรโนไวรัส เช่นเดียวกับไวรัสติดต่ออื่นอีกจำนวนหนึ่ง[91][92]

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ คอลเลจพาร์ก และมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน ได้ทำแผนที่จีโนมไวรัสทุกสายพันธุ์เท่าที่ทราบว่าก่อโรคหวัด[93]

อ้างอิง

บรรณานุกรม

แหล่งข้อมูลอื่น

การจำแนกโรค
ทรัพยากรภายนอก
🔥 Top keywords: พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคลหน้าหลักพระสุนทรโวหาร (ภู่)องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยพิเศษ:ค้นหาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพรอสมทวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ลีก 2024สไปร์ท (แร็ปเปอร์)ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024พุ่มพวง ดวงจันทร์ดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)อีดิลอัฎฮาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียวราชวงศ์จักรีลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทยรายชื่อตัวละครในพระอภัยมณีหม่อมเจ้านวพรรษ์ ยุคลทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคลพระอภัยมณีหม่อมเจ้ามงคลเฉลิม ยุคลหม่อมเจ้าฑิฆัมพร ยุคลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรหลานม่าอริยสัจ 4ตารางธาตุนิราศภูเขาทองรายชื่อเครื่องดนตรีเฌอมาวีร์ สุวรรณภาณุโชคประเทศไทยอาณาจักรอยุธยาปิติ ภิรมย์ภักดีวอลเลย์บอลวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย