เอ็ม1 เอบรามส์
เอ็ม1 เอบรามส์ (อังกฤษ: M1 Abrams) เป็นรถถังหลักรุ่นที่สามของสหรัฐอเมริกา ชื่อมีที่มาจากพลเอกเครกตัน เอบรามส์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐในสงครามเวียดนามตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511–2515 มันมีอาวุธที่ดี เกราะขนาดหนัก และคล่องตัวตามที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำสงครามยานเกราะยุคใหม่[5] จุดเด่นคือเครื่องยนต์กังหันแก๊สที่ทรงพลัง การใช้เกราะผสม และการเก็บกระสุนแยกต่างหากจากห้องของลูกเรือ เป็นหนึ่งในรถถังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประจำการ ด้วยน้ำหนักเกือบ 62 ตัน
![]() | |
บทบาท | รถถังหลัก |
---|---|
สัญชาติ | ![]() |
ประจำการ | พ.ศ. 2523 – ปัจจุบัน |
ผู้ใช้งาน | ดูที่ประเทศผู้ใช้งาน |
สงคราม | สงครามอ่าว สงครามคอซอวอ สงครามอิรัก สงครามอัฟกานิสถาน |
ผู้ออกแบบ | ไครสเลอร์ ดีเฟนซ์(ปัจจุบันเป็น เจเนรัล ไดนามิกส์) |
บริษัทผู้ผลิต | ลิมา อาร์มี แทงค์ แพลนท์ (พ.ศ. 2523-ปัจจุบัน)[1] ดีทรอยท์ อาร์เซนอล แทงค์ แพลนท์ (พ.ศ. 2525-2539) |
มูลค่า | 65.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เอ็ม1เอ2) (88.92 ล้าน เมื่อปรับค่าเงิน พ.ศ. 2559)[2] |
จำนวนที่ผลิต | มากกว่า 10800 คัน[1] |
แบบอื่น | ดูที่รุ่นต่าง ๆ |
น้ำหนัก | 68.3 ตัน |
ความยาว | รวมปืนที่ยื่นออกไปข้างหน้า 9.77 เมตร[3] ตัวถัง 7.93 เมตร |
ความกว้าง | 3.66 เมตร |
ความสูง | 2.44 เมตร |
ลูกเรือ | 4 นาย (ผู้บังคับการรถถัง พลปืน พลบรรจุ และพลขับ) |
เกราะ | เกราะช็อบแฮม เกราะอาร์เอช แผ่นเหล็กป้องกันยูเรเนียม |
อาวุธหลัก | ปืนใหญ่ลำกล้องเกลียวเอ็ม68 ขนาด 105 ม.ม. (เอ็ม1) ปืนใหญ่ปัจจุบันไร้เกลียวเอ็ม256 ขนาด 120 ม.ม.(เอ็ม1เอ1 เอ็ม1เอ2 เอ็ม1เอ2เอสอีพี) |
อาวุธรอง | ปืนกลหนักเอ็ม 2 บราวนิง ขนาด 12.7 ม.ม.หนึ่งกระบอก ปืนกลเอ็ม240 ขนาด 7.62 ม.ม.สองกระบอก (หนึ่งกระบอกบนฝาครอบ หนึ่งกระบอกข้างปืนหลัก) |
เครื่องยนต์ | ฮันนีเวลล์ เอจีที1500ซี ให้แรงขับ 1,500 แรงม้า |
กำลัง/น้ำหนัก | 24.5 แรงม้า/ตัน |
ระบบส่งกำลัง | อัลลิสัน ดีโอเอ เอ็กซ์-1100-3บี |
ระบบช่วงล่าง | ทอร์ชั่นบาร์ |
ระยะห่างระหว่างตัวถังกับพื้น | 0.48 เมตร (เอ็ม1 เอ็ม1เอ1) 0.43 เมตร (เอ็ม1เอ2) |
ความจุเชื้อเพลิง | 500 แกลลอน |
พิสัย | 465.29 กิโลเมตร[4] |
ความเร็ว | บนถนน: 68-72 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกถนน: 40.3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง |
เอ็ม1 เอบรามส์ได้เข้าประจำการในกองทัพสหรัฐเมื่อปี พ.ศ. 2523 โดยเข้ามาแทนที่เอ็ม60 แพทตัน[6] อย่างไรก็ตามมันก็ทำงานร่วมกับเอ็ม60เอรุ่นที่ได้รับการพัฒนามาตลอดทศวรรษ ซึ่งเข้าประจำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 รุ่นหลัก ๆ ของเอ็ม1 มีสามรุ่นด้วยกัน คือ เอ็ม1 เอ็ม1เอ1 และเอ็ม1เอ2 โดยมีการพัฒนาด้านอาวุธ การป้องกัน และระบบไฟฟ้า การพัฒนาเหล่านี้มีเพื่อทำให้มีอายุการใช้งานที่นานขึ้น ในปัจจุบันกำลังมีการพัฒนาเอ็ม1เอ3 มันเป็นรถถังประจัญบานหลักของกองทัพบกสหรัฐและเหล่านาวิกโยธินสหรัฐ รวมทั้งกองทัพบกอียิปต์ กองทัพบกคูเวต กองทัพบกซาอุดิอาระเบีย กองทัพบกออสเตรเลีย และกองทัพบกอิรัก เอ็ม1 เอบรามส์จะประจำการจนถึงคริสต์ทศวรรษ 2050 ประมาณ 70 ปีหลังจากที่เข้าประจำการครั้งแรก
ประวัติ
การพัฒนา
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/f/f3/XM-1_Abrams_during_a_demonstration_on_the_test_range_of_Fort_Knox%2C_1979.jpg/220px-XM-1_Abrams_during_a_demonstration_on_the_test_range_of_Fort_Knox%2C_1979.jpg)
ความพยายามครั้งแรกที่จะแทนที่รถถังเอ็ม60 แพทตันคือเอ็มบีที-70 ที่พัฒนาขึ้นด้วยการร่วมมือกับเยอรมนีตะวันตกในคริสต์ทศวรรษ 1960 เอ็มบีที-70 นั้นเป็นสิ่งที่ใหม่และมีแนวคิดหลายอย่างซึ่งได้พิสูจน์ว่าไม่ประสบความสำเร็จ ผลต่อมาคือโครงการถูกยกเลิกไป ต่อมาสหรัฐก็เริ่มเอ็กซ์เอ็ม803 ซึ่งไม่ต่างอะไรจากรถถังเอ็มบีที-70 แต่เป็นรุ่นที่ลดความซับซ้อนและราคาลง[7]
สภาคองเกรสได้ยกเลิกเอ็มบีที-70 ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2513[7] และเอ็กซ์เอ็ม803 ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2515[7] และโอนงบประมาณไปที่เอ็กซ์เอ็ม815 ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเอ็กซ์เอ็ม1 เอบรามส์ตามชื่อนายพลเครกตัน เอบรามส์ ต้นแบบถูกส่งมอบในปี พ.ศ. 2519 โดยไครส์เลอร์ ดีเฟนซ์และเจเนรัล มอเตอร์สโดยติดตั้งอาวุธเป็นปืนใหญ่โรยัล ออร์ดแนวซ์ แอล7 ขนาด 105 ม.ม. ที่เทียบเท่ากับของลีโอพาร์ด 2 การออกแบบไครส์เลอร์ ดีเฟนซ์ถูกเลือกให้ได้รับการพัฒนาต่อไปให้เป็นรถถังเอ็ม1 ในปี พ.ศ. 2522 เจเนรัล ไดนามิกส์ก็ได้ซื้อบริษัทไครส์เลอร์ ดีเฟนซ์
มีเอ็ม1 เอบรามส์จำนวน 3,273 คันที่ถูกผลิตออกมาในช่วงพ.ศ. 2522–2528 และเข้าประจำการในกองทัพสหรัฐครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2523 มีอาวุธคือปืนใหญ่รถถังโรยัล ออร์ดแนนซ์ แอล7 ขนาด 105 ม.ม. ที่ผลิตตามใบอนุญาต รุ่นที่ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมเอ็ม1ไอพีเปิดตัวในปี พ.ศ. 2527 เอ็ม1ไอพีถูกใช้ในการประกวดแข่งขันรถถังสำหรับแคนาดาเมื่อปี พ.ศ. 2528 และ 2530
มีเอ็ม1เอ1 เอบรามส์ประมาณ 5,000 คันที่ถูกผลิตออกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529–2535 และมีจุดเด่นที่ปืนเอ็ม256 ขนาด 120 ม.ม.ที่ผลิตโดยไรน์เมทัล เอจีของเยอรมนีเพื่อใช้กับลีโอพาร์ด 2 เกราะที่แข็งแกร่ง และระบบป้องกันนิวเคลียร์ เคมี ชีวภาพ (นชค.)
ปัจจุบันโรงงานผลิตในโอไฮโอเป็นผู้ผลิตเอบรามส์[1] และก่อนหน้านั้นเมื่อปี พ.ศ. 2525–2539 ผลิตที่โรงงานในมิชิแกน
สงครามอ่าวเปอร์เซีย
เมื่อเข้าประจำการในคริสต์ทศวรรษ 1980 เอบรามส์ก็เข้าทำหน้าที่ร่วมกับเอ็ม60เอ1และเอ3 และรถถังของเนโทในการซ้อมรบมากมายในช่วงสงครามเย็น การซ้อมรบเหล่านี้เกิดขึ้นในทางตะวันตกของยุโรป โดยเฉพาะในเยอรมันตะวันตก แต่ก็รวมทั้งในประเทศอื่น ๆ อย่างเกาหลีใต้ ในการฝึกเหล่านี้ลูกเรือของเอบรามส์ได้พัฒนาทักษะของพวกเขาเพื่อใช้จัดการกับทหารและยุทธโธปกรณ์ของสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2534 สหภาพโซเวียตล่มสลายลง และเอบรามส์ก็พบวิถีการใช้งานในตะวันออกกลาง
เอบรามส์ยังคงไม่ได้รับการทดสอบในการรบจนกระทั่งถึงสงครามอ่าวในปี พ.ศ. 2534 เอ็ม1เอ1 ทั้งหมด 1,848 คันถูกส่งเข้าซาอุดีอาระเบีย เอ็ม1เอ1นั้นเหนือชั้นกว่ารถถังที-55 และที-62 ของอิรักที่ผลิตโดยโซเวียต เช่นเดียวกันกับรถถังที-72 และไลออนออฟบาบีลอน ที-72 นั้นเหมือนกับรถถังรุ่นส่งออกทั่วไปของโซเวียตคือ ไม่มีเกราะแบบหลายชั้น และระบบควบคุมการยิงที่ด้อยกว่า เอ็ม1เอ1 เอบรามส์ จึงมีเอ็ม1เอ1 เพียง 23 คันเท่านั้นที่เสียหายร้ายแรงในสงครามอ่าว[8] และมีเพียงคันเดียวเท่านั้นที่สูญเสียลูกเรือไป บางคันได้รับความเสียหายเล็กน้อย มีเอบรามส์เพียงไม่กี่คันที่ถูกศัตรูยิง และมีเพียงคันเดียวที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
เอ็ม1เอ1 สามารถจัดการเป้าหมายได้เกินระยะ 2,500 เมตร ด้วยระยะนี้ทำให้รถถังโซเวียตหมดโอกาสในปฏิบัติการพายุทะเลทราย เพราะว่าระยะหวังผลของรถถังโซเวียตของอิรักนั้นต่ำกว่า 2,000 เมตร (รถถังของอิรักไม่สามารถยิงขีปนาวุธต่อต้านรถถังได้เหมือนของโซเวียต) นั่นหมายความว่าเอบรามส์สามารถยิงใส่รถถังของศัตรูได้ก่อนที่พวกนั้นจะเข้าสู่ระยะยิง ในอุบัติเหตุการยิงใส่พวกเดียวกันเองเกราะของป้อมปืนนั้นสามารถรอดจากกระสุนเจาะเกราะพลังงานจลน์ของรถถังเอ็ม1เอ1 อีกคันได้ ไม่เหมือนกับเกราะด้านข้างของลำตัวกับเกราะด้านหลังของป้อมปืนซึ่งถูกทำลายโดยการยิงจากพวกเดียวกันเองที่ใช้กระสุนยูเรเนียมในยุทธการนอร์ฟอล์ก[9]
การพัฒนาในช่วงสงคราม
เอ็ม1เอ2 คือการพัฒนาขั้นต่อไปของเอ็ม1เอ1 ซึ่งมีกล้องตรวจการณ์ความร้อนของผู้บังคับรถ ("Commander Independent Thermal Vision, CITV") ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลภายในแบบดิจิทัล ,ระบบหน้าจอแยกของพลขับ (Driver Independent Display, DID) ระบบเอสอีพีของเอ็ม1เอ2 หรือชุดเสริมระบบ (System Enhancement Package, SEP) ซึ่งได้เพิ่มแผนที่ดิจิทัล ความสามารถด้านเอฟบีซีบี2 (FBCB2) และระบบทำความเย็นที่ได้รับการพัฒนาเพื่อให้ลูกเรืออยู่ในสภาพอุณหภูมิที่เหมาะสมพร้อมกับระบบหลากคอมพิวเตอร์
การพัฒนาเพิ่มเติมยังรวมทั้งเกราะกันกระสุนยูเรเนียม ระบบที่ทำให้รุ่นเอ1 เหมือนเป็นรุ่นใหม่ทั้งหมด (เอ็ม1เอ1 เอไอเอ็ม) ชุดเสริมดิจิทัลสำหรับเอ1 (เอ็ม1เอ1ดี) โปรแกรมพื้นฐานที่ทำให้ทั้งของกองทัพบกและนาวิกโยธินสหรัฐเท่าเทียมกัน (เอ็ม1เอ1เอชซี) และการพัฒนาด้านไฟฟ้าสำหรับเอ2 (เอ็ม1เอ2 เอสอีพี)
เอ็ม1เอ1 บางคันได้รับการพัฒนาด้านเกราะในปฏิบัติการดีเซิร์ทชีลด์ ปฏิบัติการพายุทะเลทราย และในบอสเนีย มันสามารถติดตั้งเครื่องกวาดทุ่นระเบิดได้หากจำเป็น โครงสร้างของเอ็ม1 ยังเป็นต้นแบบให้กับยานวิศวกรรมรบกริซลี่และเอ็ม104 วูฟเวอรีน
มีเอ็ม1 และเอ็ม1เอ1 มากกว่า 8,800 คันที่ถูกผลิตขึ้นมาคันละ 2.35–4.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขึ้นอยู่กับรุ่นนั้น ๆ
สงครามอิรัก
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a6/M1A1.jpg/200px-M1A1.jpg)
การรบต่อมาเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2546 เมื่อกองกำลังสหรัฐเข้าบุกอิรักและขับไล่ผู้นำซัดดัม ฮุสเซนของอิรักออกจากประเทศ เมื่อถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 มีเอบรามส์ประมาณ 80 คันที่เสียหายจนไม่สามารถทำงานได้โดยศัตรู[10] กระนั้น ในปฏิบัติการบุกก็ไม่มีลูกเรือของเอบรามส์คนใดที่เสียชีวิต แม้ว่าการครอบครองที่เกิดขึ้นภายหลังทำให้พวกเขาจำนวนมากถูกสังหารโดยพลซุ่มยิงและกับระเบิด
ความสำเร็จที่ไม่สมดุลที่สุดของเอ็ม1เอ2 คือการทำลายรถถังที-72 ไลออนออฟบาบิลอน 7 คันในการรบระยะใกล้ที่ดุเดือด (ด้วยระยะน้อยกว่า 46 เมตร) ใกล้กับเมืองมาห์มูดิยาห์ซึ่งห่างจากแบกแดดไปทางใต้ 29 กิโลเมตร โดยฝ่ายอเมริกาไม่มีการสูญเสียเลย[11] นอกจากอาวุธขนาดหนักของเอบรามส์ ลูกเรือบางคนได้เพิ่มอาวุธต่อต้านรถถังพาดไหล่เอ็ม136 เอที4ด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเขาอาจเจอกับรถถังของศัตรูในเขตเมืองซึ่งปืนใหญ่รถถังไม่สามารถเล็งได้
ด้วยบทเรียนจากปฏิบัติการพายุทะเลทราย เอบรามส์และยานรบอื่น ๆ ของสหรัฐที่ใช้ในการรบจะติดตั้งแผงระบุฝ่ายเพื่อป้องกันการยิงพวกเดียวกันเอง พวกมันจะถูกติดตั้งบนด้านข้างและด้านท้ายของป้อมปืน โดยแผงดังกล่าวจะมีภาพกล่องสี่มุมซึ่งติดตั้งอยู่บนแต่ละด้านของป้อมปืน เอบรามส์บางคันก็จะติดตั้งที่เก็บเสบียงเพิ่มที่ด้านหลังของป้อมปืนเพื่อให้ลูกเรือนั้นบรรทุกของได้มากขึ้น
เอบรามส์จำนวนมากถูกทำลาย (เฉพาะคันที่ได้รับความเสียหายจนไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้) โดยพวกเดียวกันเองเพื่อไม่ให้พวกมันถูกยึด โดยปกติแล้วจะใช้เอบรามส์อีกคันเพื่อทำลาย ซึ่งพวกมันมักไม่ค่อยถูกทำลายโดยฝั่งตรงข้าม [12]
เอบรามส์ส่วนใหญ่มักได้รับความเสียหายจากระเบิดไออีดี[13]
เอบรามส์บางคันได้รับความเสียหายขณะที่ทหารราบฝ่ายอิรักเข้าบุก บ้างก็ใช้เครื่องยิงจรวดยิงเข้าใส่ที่สายพาน ด้านหลัง และด้านบน ส่วนรูปแบบอื่นั้นจะเป็นการใช้ปืนกลหนักยิงเช้าใส่จุดสำคัญ[14][15]
นอกจากนี้ยังมีลูกเรือของเอบรามส์จำนวนมากที่ถูกสังหารโดยพลซุ่มยิงในขณะที่พวกเขาโผล่ออกมาจากป้อมปืน
เนื่องมาจากความเสียเปรียบของมันเมื่ออยู่ในเมือง จึงมีการสร้างชุดอุปกรณ์อยู่รอดในเขตเมืองของรถถังหรือทัสค์ (Tank Urban Survival Kit, TUSK) ขึ้นมา ซึ่งเอบรามส์บางคันที่ใช้มีแนมโน้มที่จะเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นเมือง
ในอนาคต
รถถังเบา เอ็ม8 ถูกเชื่อว่าจะนำเข้ามาร่วมกับเอบรามส์ในกองทัพสหรัฐสำหรับการรบที่เข้มข้นน้อยกว่า เมื่อต้นปี พ.ศ. 2533 คันต้นแบบถูกสร้างขึ้นแต่โครงการก็ถูกยกเลิกไป รถหุ้มเกราะ เอ็ม1128 ที่มี 8 ล้อถูกออกแบบขึ้นมาในทางเดียวกัน มันได้เข้าสู่ประจำการและพบว่าด้อยประสิทธิภาพ
ระบบรบในอนาคตของกองทัพสหรัฐต้องการหารถถังเข้ามาแทนที่เอบรามส์ แต่โครงการก็ถูกตัดออกจากงบประมาณของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ
เอ็ม1เอ3 เอบรามส์เป็นการออกแบบในช่วงแรก[16][17] กองทัพสหรัฐต้องการสร้างต้นแบบในปี พ.ศ. 2557 และเริ่มทำให้เอ็ม1เอ3 พร้อมเข้าประจำการในปี พ.ศ. 2560
โครงการยานรบภาคพื้นดิน บีซีทีของกองทัพสหรัฐที่กำลังพัฒนา อาจเข้ามาแทนที่เอ็ม1 ทั้งในสหรัฐและประเทศอื่นอย่างถาวร อย่างไรก็ตาม กองทัพกล่าวว่าเอบรามส์ยังคงประจำการอยู่ไปจนถึงปี พ.ศ. 2593
การออกแบบ
การป้องกัน
ลายพราง
ไม่เหมือนกับยานพาหนะในยุคแรก ๆ ของกองทัพบกสหรัฐในสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเวียดนาม ซึ่งใช้โครงสีน้ำตาลเขียวเข้มและรูปดาวดวงใหญ่ เอ็ม1 (ขนาดปืน 105 ม.ม.) ในรุ่นผลิตแรก ๆ นั้นจะใช้สีเขียวล้วนและเปลี่ยนการใช้รูปดาวไปเป็นแต้มสีดำแทน บางหน่วยจะทำสีรถถังที่ประกอบด้วย 4 สี ปัจจุบันรถถังในภาคสนามที่ใช้สีเดิมที่เป็นสีเขียวนั้นแถบจะไม่มีแล้ว
เอ็ม1เอ1 (ขนาดปืน 120 ม.ม.) ที่ผลิตมาจากโรงงานจะมาพร้อมลายพราง 3 สีของเนโท คือ ดำ เขียว และน้ำตาลเขียว ปัจจุบันเอ็ม1 และเอ็ม1เอ1 ที่ประจำในสงครามอ่าวจะถูกทำสีเป็นสีน้ำตาลทะเลทราย รถถังบางคันจะถูกทำสีให้ตรงตามกับหน่วยสังกัด เอ็ม1เอ2 ที่ถูกผลิตให้กับประเทศในตะวันออกกลางก็ทำสีเป็นสีน้ำตาลทะเลทรายเช่นกัน
เอ็ม1 บางรุ่นกำลังถูกทำสีเป็นสีน้ำตาลทะเลทรายเพื่อส่งเข้าทำหน้าที่ในอิรัก ชิ้นส่วนอะไหล่ (เช่น ล้อ แผงเกราะข้าง ล้อเฟือง เป็นต้น) จะถูกทำสีเป็นสีเขียวล้วน ซึ่งบางครั้งก็นำไปใช้กับทั้งรถถังคันที่เป็นสีเขียวและสีน้ำตาลทะเลทราย
การอำพรางตัว
ส่วนป้อมปืนนั้นจะมีท่อยิงระเบิดควันอยู่หกท่อ พวกมันสามารถสร้างกำแพงควันหนาที่ทำให้ศัตรูมองไม่เห็นแม้จะใช้กล้องตรวจจับความร้อนก็ตาม นอกจากนี้มันยังสามารถเปลี่ยนเป็นยิงชาฟฟ์ที่จะรบกวนเรดาร์ได้อีกด้วย ที่เครื่องยนต์มีการติดตั้งเครื่องสร้างควันที่จะเปิดได้โดยพลขับ เมื่อทำงาน มันจะพ่นเชื้อเพลิงตามท่อของเครื่องยนต์จนเกิดเป็นควันขึ้นมา อย่างไรก็ตาม เนื่องมาจากการเปลี่ยนการใช้น้ำมันดีเซลไปเป็นเชื้อเพลิงเจพี-8 ระบบดังกล่าวจึงถูกปิดในรถถังส่วนมาก เพราะว่าเจพี-8 จะทำให้เครื่องยนต์ลุกเป็นไฟแทนหากพ่นมันไปตามท่อเครื่องยนต์
ระบบการป้องกันแบบเชิงรุก
นอกเหนือจากเกราะที่ก้าวหน้าแล้ว เอบรามส์บางคันก็ยังติดตั้งอุปกรณ์ต่อต้านขีปนาวุธเอาไว้ ซึ่งมันสามารถรบกวนระบบนำวิถีของขีปนาวุธสายลวดและขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถีด้วยวิทยุ (เช่น เอที-3 เอที-4 เอที-5 เอที-6 ของรัสเซีย) และขีปนาวุธนำวิถีด้วยความร้อนและอินฟราเรดอื่น ๆ[18] อุปกรณ์นี้จะติดตั้งอยู่บนป้อมปืนหน้าฝาปิดห้องลูกเรือ มันทำให้บางคนเข้าใจผิดว่ารถถังที่ติดตั้งอุปกรณ์นี้คือเอ็ม1เอ2 เพราะว่าการติดตั้งช่องสำหรับผู้บัญชาการรถถังในตำแหน่งเดียวกัน
เกราะ
เอบรามส์นั้นได้รับการป้องกันจากเกราะที่มีการออกแบบมาจากเกราะช็อบแฮมของอังกฤษ ซึ่งมันคือการพัฒนาจากเกราะเบอร์ลิงตันของอังกฤษเช่นเดียวกัน ช็อบแฮมเป็นเกราะแบบผสมที่เกิดจากการซ้อนวัสดุที่ประกอบด้วย เหล็กอัลลอย เซรามิก พลาสติกผสม และเคฟลาร์ ทำให้มันมีเกราะหนาถึง 1,320–1,620 มิลลิเมตรที่ต้านทานสารเคมีและความร้อน พร้อมเกราะต้านกระสุนเจาะเกราะพลังงานจลน์หนา 940–960 มิลลิเมตร[7] อาจมีการนำเกราะปฏิกิริยามาใช้ในส่วนล่างหากจำเป็น (ในการรบแบบเมือง) และเกราะแสลทที่ด้านท้ายของรถถังเพื่อป้องกันการโจมตีจากขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านรถถัง การป้องกันสะเก็ดระเบิดจะใช้เกราะเคฟลาร์ ในตอนแรกเมื่อปี พ.ศ. 2530 เอ็ม1เอ1 ได้รับการพัฒนาไปใช้เกราะที่ทำงานร่วมกับยูเรเนียมสิ้นอายุที่จะติดตั้งตรงด้านหน้าของป้อมปืนและด้านหน้าของตัวถัง เกราะแบบนี้มีประสิทธิภาพมากในการเพิ่มแรงต้านทานต่ออาวุธต่อต้านรถถังทุกรูปแบบ แต่มันก็ตามมาด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะว่ายูเรเนียมสิ้นอายุนั้นหนักกว่าตะกั่วถึง 1.7 เท่า[19]
เอ็ม1เอ1 รุ่นแรก ๆ ที่ใช้เกราะแบบนี้ประจำการอยู่ในเยอรมนี เพราะว่าพวกมันคือแนวตั้งรับแรกสุดต่อสหภาพโซเวียต กองพันยานเกราะของสหรัฐที่ทำสงครามในปฏิบัติการพายุทะเลทรายได้รับการปรับเปลี่ยนไปใช้เกราะยูเรเนียมอย่างกะทันหันก่อนเริ่มการรบ เอ็ม1เอ2 นั้นใช้เกราะเนื้อเดียวที่หนา 610 มิลลิเมตร ความแข็งแกร่งของเกราะนั้นพอ ๆ กับรถถังประจัญบานหลักของฝั่งยุโรปอย่างลีโอพาร์ด 2 ในสงครามอ่าว รถถังเอบรามส์รอดจากการถูกยิงหลายครั้งในระยะใกล้โดยรถถังไลออน ออฟ บาบิโลนและขีปนาวุธต่อต้านรถถังของอิรัก กระสุนของเอบรามส์ด้วยกันเองก็ยังไม่สามารถเจาะทะลุเกราะด้านหน้าและด้านข้างได้เช่นกัน ตัวอย่างที่ให้เห็นเกิดขึ้นเมื่อเอบรามส์คันหนึ่งต้องการทำลายเอบรามส์อีกคันที่ติดหล่มและขวางทางอยู่จนต้องทิ้งมันไว้[20]
การควบคุมความเสียหาย
ในกรณีที่เอบรามส์ได้รับความเสียหายจากการถูกยิงเข้าที่ส่วนห้องลูกเรือ รถถังจึงได้ติดตั้งระบบดับเพลิงเอาไว้ ซึ้งมันจะทำการดับเพลิงโดยอัตโนมัติทันทีเมื่อเกิดไฟไหม้
เชื้อเพลิงและกระสุนจะถูกเก็บเอาไว้ในส่วนที่หุ้มเกราะเพื่อป้องกันลูกเรือจากการระเบิดของกระสุนในรถถังเมื่อรถถังถูกยิง
อาวุธ
อาวุธหลัก
- ปืนลำกล้องเกลียว เอ็ม68เอ1
อาวุธหลักของเอ็ม1 คันต้นแบบคือปืนใหญ่รถถังเอ็ม68เอ1 ขนาด 105 ม.ม. ที่จะยิงกระสุนหลากชนิด เช่น ระเบิดแรงสูงต่อต้านรถถัง ระเบิดแรงสูง ฟอสฟอรัสขาว และกระสุนต่อต้านบุคคล ปืนแบบนี้ถูกสร้างจากปืนโรยัล ออร์ดแนนซ์ แอล7 ภายใต้ใบอนุญาตของอังกฤษ ในขณะที่มันเป็นปืนที่มีความน่าเชื่อถือและถูกใช้อย่างกว้างขวางในประเทศกลุ่มเนโท แต่ก็มีความต้องการปืนที่ยิงได้ไกลกว่า 3 กิโลเมตรอย่างแม่นยำเพื่อจัดการกับเกราะสมัยใหม่ เพื่อให้ได้ความแม่นยำในระดับนั้น เส้นผ่าศูนย์กลางของกระสุนจะต้องยาวมากขึ้น การทำงานในด้านความแม่นยำและการทะลุทะลวงเกราะของเอ็ม68เอ1 นั้นเทียบได้กับของเอ็ม256เอ1 ถึง 3 กิโลเมตร แต่หากไกลกว่านั้น กระสุนขนาด 105 ม.ม.จะสูญเสียพลังจลน์ที่ใช้เพื่อเจาะเกราะสมัยใหม่
- ปืนใหญ่ลำกล้องเรียบ เอ็ม256
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/23/Fallujah_2004_M1A1_Abrams.jpg/220px-Fallujah_2004_M1A1_Abrams.jpg)
อาวุธหลักของเอ็ม1เอ1 และเอ็ม1เอ2 คือปืนใหญ่รถถัง เอ็ม256เอ1 ขนาด 120 ม.ม. ซึ่งออกแบบโดยไรน์เมทอล เอจีในประเทศเยอรมนี ผลิตภายใต้ใบอนุญาตโดยวอเตอร์วเลียท อาร์เซนัลในสหรัฐอเมริกา เอ็ม256เอ1 เป็นแบบดัดแปลงมาจากปืนไรน์เมทอล 120 ม.ม. แอล/44 ที่ใช้กับรถถังลีโอพาร์ด 2 ของเยอรมัน รถถังลีโอพาร์ดนั้นมีหลายรุ่น รุ่นสูงสุดคือ ลีโอพาร์ด 2เอ6 ที่ใช้ปืนแอล/55 ที่ยาวกว่าแอล/44
เอ็ม256เอ1 สามารถยิงกระสุนได้อย่างหลากหลาย กระสุนแบบเอ็ม829เอ2 ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจัดการกับภัยคุกคามอย่างรถถังที-90 หรือที-80 ของโซเวียตที่ติดเกราะระเบิดปฏิกิริยาคอนทักท์-5 นอกจากนี้มันยังใช้กระสุนระเบิดแรงสูงต่อต้านรถถังอย่างเอ็ม830 ซึ่งรุ่นล่าสุด (เอ็ม830เอ1) ของมันจะทำงานร่วมกับชนวนสัมผัสไฟฟ้าที่ซับซ้อนและสะเก็ดระเบิด ซึ่งทำให้มันมีประสิทธิภาพกับพาหนะหุ้มเกราะ ทหารราบ และอากาศยานบินต่ำ เอบรามส์ใช้การบรรจุกระสุนด้วยมือ ซึ่งสนับสนุนพลประจำรถถังให้สามารถทำหน้าที่อื่นได้ เช่น การซ่อมบำรุงและดำเนินการสังเกต/ฟังหลังปฏิบัติการยิง (OP/LP)
กระสุนต่อต้านบุคคล เอ็ม1028 ขนาด 120 ม.ม.ได้ถูกนำมาใช้หลังจากสิ้นสุดการบุกอิรักเมื่อปี พ.ศ. 2546 มันบรรจุด้วยลูกปรายทำจากทังสเตนขนาด 3 ม.ม. จำนวน 1,098 ลูก ซึ่งจะกระจายออกจากปากกระบอกปืนเหมือนกับปืนลูกซอง โดยให้ระยะสังหารถึง 600 เมตร ลูกปรายทังสเตนนั้นสามารถถูกใช้เพื่อกำจัดศัตรูในพาหนะ การรบในเขตเมือง กวาดล้างช่องเขา หยุดการโจมตีจากทหารราบและตอบโต้ และสนับสนุนการโจมตีของทหารราบฝ่ายพันธมิตร กระสุนดังกล่าวยังมีประสิทธิภาพอย่างมากในการสร้างช่องบนกำแพงเพื่อส่งทหารราบเข้าพื้นที่ โดยใช้ได้ไกล 75 เมตร[21]
นอกจากนี้แล้ว กระสุนรุ่นใหม่อย่าง เอ็กซ์เอ็ม1111 ก็ถูกพัฒนาขึ้นมาเช่นกัน มันเป็นกระสุนแบบนำวิถีโดยมีระยะหวังผลประมาณ 12 กิโลเมตรและใช้หัวรบพลังงานจลน์ ซึ่งใช้จรวดขับเคลื่อน มันมีแนวโน้มที่จะเป็นกระสุนเจาะเกราะที่ดีที่สุดของสหรัฐ โดยสามารถเจาะทะลุเกราะที่หนา 790 ม.ม.ได้ แต่ได้ยกเลิกไปพร้อมกับโครงการระบบการรบอนาคต (Future Combat System, FCS)
อาวุธรอง
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/ad/M1_Abrams_turret_fire_above.jpg/170px-M1_Abrams_turret_fire_above.jpg)
รถถังเอบรามส์นั้นมีปืนกลทั้งสิ้น 3 กระบอก ได้แก่
- ปืนกลเอ็ม2เอชบี ขนาด .50 คาลิเบอร์ (12.7 ม.ม.) ซึ่งติดอยู่หน้าช่องของผู้บัญชาการรถถัง ในรุ่นเอ็ม1 เอ็ม1ไอพี และเอ็ม1เอ1 ปืนนี้จะใช้ระบบไฟฟ้าและสามารถยิงด้วยกล้องมอง 3 ระดับ โดยมักเรียกว่าอาวุธประจำสถานีของผู้บัญชาการหรือซีดับบลิวเอส (Commander's Weapon Station, CWS) ในรุ่นเอ็ม1เอ2 และเอ็ม1เอ2เอสอีพี ปืนนี้จะต้องยิงโดยลูกเรือเอง เมื่อใช้ชุดอุปกรณ์ทัสค์ รถถังจะสามารถติดตั้งปืนกลเอ็ม2เอชบีหรือเครื่องยิงลูกระเบิด มาร์ค 19 บนแท่นควบคุมได้ (แท่นควบคุมนี้จะทำงานเหมือนกับอาวุธประจำสถานีควบคุมระยะไกลโพรเทคเตอร์ เอ็ม151 ที่ใช้กับยานพาหนะตระกูลสไตรค์เกอร์ การพัฒนาขึ้นต่อคือ เอ็ม1เอ1 เอบรามส์ อินเตอร์เกรทเต็ด มาเนจเมนท์หรือเอไอเอ็ม (M1A1 Abrams Integrated Management, AIM) ซึ่งมีปืนขนาด .50 คาลิเบอร์ที่ติดตั้งกล้องจับความร้อนและอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อช่วยในการยิงเมื่อทรรศนะวิสัยไม่ชัด[22]
- ปืนกล เอ็ม240 ขนาด 7.62 ม.ม. ซึ่งติดตั้งอยู่หน้าช่องพลบรรจุกระสุน (ในภาพด้านขวา) บางครั้งจะมีการติดตั้งเกราะในช่วงสงครามอิรัก รวมทั้งกล้องมองกลางคืนด้วยเช่นกัน
- ปืนกล เอ็ม240 ขนาด 7.62 ม.ม. กระบอกที่สองนั้นจะอยู่ทางขวา ข้างปืนใหญ่หลัก มันจะถูกควบคุมและยิงโดยระบบคอมพิวเตอร์เช่นเดียวกับปืนใหญ่หลัก[23]
- ปืนกล เอ็ม2เอชบี ขนาด 12.7 ม.ม. กระบอกที่สองสามารถติดตั้งไว้เหนือปืนใหญ่หลักได้เช่นกัน (เป็นอีกทางเลือก)
สำหรับกองทัพสหรัฐ ในรถถังจะมีปืนเล็กยาว เอ็ม16 หรือเอ็ม4 คาร์ไบน์ ซึ่งเก็บเอาไว้ในส่วนป้อมปืนในกรณีฉุกเฉินเมื่อลูกเรือต้องสละรถถัง ในขณะเดียวกันลูกเรือเองก็จะมีเอ็ม9 เบเร็ทต้าเป็นอาวุธประจำกาย ในปัจจุบันลูกเรือของกองทัพสหรัฐจะมีปืนเล็กยาวหรือคาร์บินคนละหนึ่งกระบอก ในปฏิบัติการปลดปล่อยอิรักลูกเรือบางนายจะใช้จรวดต่อสู้รถถังประทับบ่าเอ็ม136 เอที4 สำหรับจัดการกับยานเกราะในสภาพแวดล้อมที่คับแคบจนไม่สามารถใช้ปืนใหญ่หลักของเอ็ม1 เอบรามส์ได้
การเล็ง
ระบบกล้องเล็งของรถถังเอ็ม1 เอบรามส์นั้น จะประกอบไปด้วย ศูนย์เล็งหลักของพลยิง (Gunner Primary Sight,GPS) ซึ่งประกอบไปด้วยกล้องเล็งกลางวัน,กล้องเล็งชนิดตรวจจับความร้อนและเลเซอร์วัดระยะ โดยทั้งระบบจะมีระบบรักษาการทรงตัวอิสระในแนวดิ่ง และสำหรับในรุ่นเอ็ม1เอ2 ศูนย์เล็งจะรักษาการทรงตัวอิสระทั้งแนวดิ่งและแนวระดับ [24] ซึ่งผู้บังคับรถจะสามารถตรวจการณ์ผ่านศูนย์เล็งของพลยิงผ่านชุดถ่ายทอดศูนย์เล็ง และสำหรับรุ่นเอ็ม1เอ2 ผู้บังคับรถจะมีกล้องตรวจการณ์ความร้อนของผู้บังคับรถ ("Commander Independent Thermal Vision, CITV") สำหรับตรวจการณ์รอบทิศและนอกจากนี้ พลยิงยังมีศูนย์เล็งสำรองสำหรับใช้ในกรณีที่ศูนย์เล็งหลักถูกทำลาย หรือ ไม่สามารถใช้การได้รถถังเอบรามส์มีคอมพิวเตอร์คำนวณขีปนวิถีที่จะรวบรวมข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง เพื่อคำนวณ แสดงผล และทำงานร่วมกับปัจจัยในการทำงานทั้งสามอย่างของการยิง คือ มุม ชนิดกระสุน และระยะเป้าหมาย ปัจจัยทั้งสามจะต้องพึ่งพา เลเซอร์หาระยะ เซ็นเซอร์วัดแรงลม เซ็นเซอร์จุดศูนย์ถ่วง ข้อมูลการทำงานและการเคลื่อนที่ของกระสุนชนิดนั้น ๆ ข้อมูลแนวปากกระบอกปืน อุณหภูมิกระสุน อุณหภูมิอากาศ แรงกดอากาศ ระบบอ้างอิงปากกระบอกปืน และเครื่องวัดความเร็วในการเคลื่อนที่ของเป้าหมาย ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้จะถูกคำนวณออกมาเป็นวิธีการยิงและทำการอัปเดต 30 ครั้งต่อวินาที การอัปเดตนั้นจะแสดงผลให้กับพลปืนหรือผู้บัญชาการ ทั้งภาพปกติและภาพความร้อน มุมและกระบอกปืนจะถูกเปลี่ยนให้เหมาะสมโดยคอมพิวเตอร์
ระบบควบคุมการยิงจะใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อประมวลการยิงให้กับพลปืน มันจะเพิ่มโอกาสในการยิงถูกเป้าหมายถึง 95% ในระยะปกติ ทั้งผู้บัญชาการและพลปืนสามารถทำการยิงปืนใหญ่หลักได้ นอกจากนี้กล้องตรวจการณ์ความร้อนของผู้บังคับรถของรถถังเอ็ม1เอ2 สามารถถูกใช้เพื่อระบุตำแหน่งเป้าหมายและส่งต่อเป้าหมายไปยังพลปืนเพื่อทำการยิงได้ ในขณะที่หาเป้าหมายต่อไป ในกรณีที่เกิดเหตุขัดข้องหรือระบบเล็งได้รับความเสียหาย อาวุธหลักจะสามารถเล็งได้ด้วยมือ ป้อมปืนและปืนใหญ่สามารถปรับได้ด้วยข้อเหวี่ยงหากเกิดความเสียหายต่อระบบไฮดรอลิกหรือระบบควบคุมการยิง
การขับเคลื่อน
ทางยุทธวิธี
เอ็ม1 เอบรามส์นั้นมีขุมกำลังเป็นเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ ฮันนีย์เวลล์ เอจีที-1500 และระบบส่งกำลัง อัลลิสัน เอ็กซ์-1100-3บี ซึ่งมีความเร็วหกระดับด้วยกัน (เดินหน้าสี่และถอยหลังสอง) ทั้งสองอย่างนี้ทำให้มันสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 72 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนถนน และ 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนพื้นผิวทั่วไป มันสามารถทำความเร็วได้เกินสมรรถนะเป็น 97 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่การวิ่งเร็วเกิน 72 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะสร้างความเสียหายให้กับตีนตะขาบและทำให้ลูกเรือได้รับบาดเจ็บได้ มีการสร้างถังสารพัดประโยชน์ขึ้นไว้รอบเครื่องยนต์[25] ถังดังกล่าวจะสามารถบรรจุได้ทั้งน้ำมันดีเซล น้ำมันก๊าด เชื้อเพลิงเจพี-4 หรือเจพี-8 ของเครื่องบินไอพ่น กองทัพบกสหรัฐใช้เชื้อเพลิงเจพี-8 เพื่อทำให้พลาธิการทางทหารง่ายขึ้น กองพันยานเกราะของออสเตรเลียใช้น้ำมันดีเซล เพราะว่ามันถูกกว่าและดูเหมาะสมกว่าในทางพลาธิการของกองทัพออสเตรเลีย
จากสงครามอิรัก กองทัพบกสหรัฐจึงเริ่มมองหาเครื่องยนต์มาแทนที่เอจีที-1500 เพราะปัญหาการใช้เชื้อเพลิง เครื่องยนต์เทอร์ไบน์นั้นให้การเร่งกำลังที่ดีกว่า แต่ใช้เชื้อเพลิงมากกว่าเครื่องยนต์ดีเซลถึงสองเท่า เครื่องยนต์เทอร์ไบน์นั้นมีน้ำหนักเบากว่าเครื่องยนต์ดีเซล แต่ก็ใช้พื้นที่และถังเชื้อเพลิงที่ใหญ่กว่า
ระบบขับเคลื่อนของเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์นั้นน่าไว้ใจกว่าทั้งในทางปฏิบัติและทางทฤษฎี แต่การผลาญเชื้อเพลิงที่มากของมันทำให้กลายเป็นปัญหาทางเสบียง เครื่องยนต์นั้นผลาญเชื้อเพลิงมากกว่า3.8 ลิตรต่อหนึ่งไมล์และ 45 ลิตรต่อชั่วโมงเมื่อไม่ได้เคลื่อนที่[26] ลมที่มีความเร็วและความร้อนสูงเท่าไอพ่นของเครื่องบินจะถูกส่งออกมาจากด้านท้ายของรถถัง ซึ่งทำให้ทหารราบไม่สามารถติดตามรถถังได้ในกรณีที่ต้องทำการรบในพื้นที่เมือง นอกจากนี้เครื่องยนต์เทอร์ไบน์นั้นมีเสียงที่เบากว่าเครื่องยนต์ดีเซล
ทางยุทธศาสตร์
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/98/DF-SD-06-12692.jpg/220px-DF-SD-06-12692.jpg)
การเคลื่อนที่ทางยุทธศาสตร์ คือความสามารถของรถถังของกองกำลังติดอาวุธที่จะต้องเข้าสู่สนามรบได้ตรงเวลา มีประสิทธิภาพ และพร้อมเพรียงกัน รถถังเอบรามส์นั้นจะถูกลำเลียงด้วยเครื่องบินขนส่งซี-5 กาแลคซีหรือซี-17 โกลบมาสเตอร์ 3 แม้ว่าในสงครามอ่าวเปอร์เซียรถถังเอบรามส์จำนวน 1,848 คันถูกลำเลียงโดยเรือ แต่ด้วยเนื้อที่ที่จำกัดบนเครื่องบินทั้งสองรุ่น (ซี-5 สามารถบรรทุกรถถังเอบรามส์พร้อมรบได้ 2 คัน ซี-17 สามารถบรรทุกได้ 1 คัน) ทำให้เกิดปัญหาในการลำเลียงรถถังอย่างมากในช่วงแรกของสงคราม
นาวิกโยธินของสหรัฐลำเลียงรถถังของหน่วยเฉพาะกิจอากาศโยธินด้วยเรือรบ โดยปกติแล้วเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ชั้นวาสป์จะบรรทุกรถถังเอบรามส์ 4–5 คัน พร้อมกับหน่วยนาวิกโยธินสำรวจทาง โดยจะทำการลำเลียงรถถังขึ้นฝั่งด้วยยานยกพลขึ้นบกแบบสะเทินน้ำสะเทินบกทีละหนึ่งคัน
นอกจากนี้แล้วรถถังเอบรามส์ยังสามารถถูกลำเลียงด้วยรถบรรทุกระบบขนส่งอุปกรณ์ขนาดหนัก|เอ็ม1070]] รถบรรทุกนี้สามารถเดินทางบนทางหลวง ถนนรอง และเดินทางข้ามประเทศได้ โดยใช้พลขับทั้งหมด 4 นายในการควบคุมรถบรรทุกดังกล่าว[27]
การลำเลียงรถถังเอบรามส์เข้าสู่สนามรบโดยตรงทางอากาศเกิดขึ้นครั้งแรกในเดือนเมษายน พ.ศ. 2546 โดยรถถังจากกองทหารราบที่ 1 ของสหรัฐถูกลำเลียงโดยเครื่องบินซี-17 จากเมืองรัมชไตน์ในเยอรมนีเข้าสู่ทางเหนือของอิรัก เพื่อทำการสนับสนุนหน่วยเฉพาะกิจไวกิง[28]
รุ่นต่าง ๆ และการยกระดับ
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/5/5d/M1_Grizzly_2.jpg/220px-M1_Grizzly_2.jpg)
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4e/M1_Assault_Breacher_Vehicle.jpg/220px-M1_Assault_Breacher_Vehicle.jpg)
- เอ็กซ์เอ็ม1-เอฟเอสอีดี: เป็นรุ่นทดสอบก่อนการผลิต มีรุ่นนี้ทั้งหมด 11 คันซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงพ.ศ. 2520–2521 พวกมันมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่าพาหนะนักบิน (Pilot Vehicle) จึงถูกทำสัญลักษณ์ด้วยอักษร PV-1 ถึง PV-11
- เอ็ม1: เป็นรุ่นแรกที่เข้าสู่สายการผลิต การผลิตเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2522 จนถึงปี พ.ศ. 2528 รถถัง 100 คันแรกเป็นรุ่นการผลิตระยะเริ่มในอัตราต่ำ หรือ LRIP (Low Rate Initial Production) จึงถูกเรียกว่าเอ็กซ์เอ็ม1 เพราะว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นก่อนที่รถถังดังกล่าวจะถูกจัดว่าเป็นรถถังชั้นเอ็ม1
- เอ็ม1ไอพี (Improved Performance): เป็นรุ่นที่ถูกสร้างเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ในปี พ.ศ. 2527 ก่อนที่จะมีการสร้างเอ็ม1เอ1 รุ่นนี้ประกอบด้วยการยกระดับและการปรับปรุง เช่น ป้อมปืนแบบใหม่ที่มีเกราะส่วนหน้าที่หนาขึ้น เกราะที่เดิมทีมีความหนา 650 มิลลิเมตรได้ถูกเพิ่มเป็น 880 มิลลิเมตร
- เอ็ม1เอ1: เป็นรุ่นที่เริ่มการผลิตในปี พ.ศ. 2528 มีระบบปรับความดันเพื่อป้องกันอาวุธนิวเคลียร์ ชีวภาพ และเคมี ทีพื้นที่ส่วนด้านหลังสำหรับเก็บสัมภาระ เกราะระเบิดที่ออกแบบใหม่ และปืนเอ็ม256 ขนาด 120 มิลลิเมตร
- เอ็ม1เอ1เอชเอ (Heavy Armor): เป็นรุ่นที่ติดตั้งส่วนประกอบเกราะยูเรเนียมหมดอายุรุ่นแรกเข้าไป รถถังบางคันได้ติดตั้งยูเรเนียมรุ่นที่สองเข้าไป โดยเรียกรถถังเหล่านั้นว่าเอ็ม1เอ1เอชเอ+
- เอ็ม1เอ1เอชซี (Heavy Common): เป็นรุ่นที่ติดตั้งส่วนประกอบเกราะยูเรเนียมหมดอายุรุ่นที่สอง มีการควบคุมเครื่องยนต์ด้วยระบบดิจิทัล และมีการยกระดับอีกเล็กน้อย
- เอ็ม1เอ1ดี (Digital): เป็นการยกระดับแบบดิจิทัลของเอ็ม1เอ1เอชซี เพื่อให้มีการพัฒนาเท่าเทียมกับเอ็ม1เอ2เอสอีพี มีการผลิตเพียงสองกองพันเท่านั้น
- เอ็ม1เอ1เอไอเอ็ม รุ่น 1 (Abrams Integrated Management): เป็นโครงการที่ซึ่งรถถังรุ่นเก่าถูกนำมาปรับสภาพให้เป็นเหมือนรถถังที่ไม่เคยถูกใช้งานเลย[29]และได้มีการเพิ่มตัวเซ็นเซอร์อินฟราเรดมองข้างหน้าและตัวจับเป้าหมายระยะใกล้เข้าไป รวมทั้งมีโทรศัพท์ระหว่างรถถังและทหารราบ อุปกรณ์การสื่อสารที่รวมทั้งเอฟบีซีบี2 และตัวติดตามบลูฟอร์ซ เพื่อช่วยให้พลขับสามารถรับรู้ต่อสถานการณ์ได้ดีขึ้น และยังมีกล้องจับความร้อนสำหรับปืนกลขนาด .50 คาลิเบอร์อีกด้วย บริษัทเจเนรัลไดนามิกส์ได้รับสัญญาจากกองทัพบกสหรัฐให้ทำการสร้างรถถังรุ่นนี้ขึ้นมาอีก[22]
- เอ็ม1เอ1เอไอเอ็ม รุ่น 2/เอ็ม1เอ1เอสเอ (Situational Awareness): เป็นรุ่นที่มีการยกระดับคล้ายกับเอไอเอ็ม รุ่น 1 ที่มาพร้อมกับส่วนประกอบเกราะยูเรเนียมหมดอายุรุ่นที่ 3
- เอ็ม1เอ1เอฟอีพี (Firepower Enhancement Package): เป็นการยกระดับที่คล้ายกับเอไอเอ็ม รุ่น 2 แต่สร้างให้กับนาวิกโยธินสหรัฐ
- เอ็ม1เอ1เควีที (Krasnovian Variant Tank): เป็นเอ็ม1เอ1 ที่ได้รับการดัดแปลงภายนอกให้ดูคล้ายกับรถถังของโซเวียตเพื่อใช้ในศูนย์ฝึกระดับชาติ โดยมีระบบเลเซอร์และอุปกรณ์ฮอฟฟ์แมนติดตั้งอยู่ด้วย
- เอ็ม1เอ1เอ็ม: เป็นรุ่นสำหรับส่งออกให้กับกองทัพบกอิรัก[30]
- เอ็ม1เอ1เอสเอ (Special Armor): เป็นรุ่นที่ปรับแต่งให้กับกองทัพบกโมร็อกโก[31]
- เอ็ม1เอ2 (Baseline): เป็นรุ่นที่มีการผลิตเริ่มในปี พ.ศ. 2535 เอ็ม1เอ2 มีความสามารถในการทำให้ผู้บัญชาการรถถังสามารถยิงสองเป้าหมายได้ โดยไม่ต้องทำการเลือกเป้าหมายตามลำดับ นอกจากนี้แล้วยังมันยังใช้ส่วนประกอบเกราะยูเรเนียมหมดอายุรุ่นที่สองอีกด้วย[32]
- เอ็ม1เอ2เอสอีพี (System Enhancement Package): เป็นรุ่นที่ได้ยกระดับส่วนประกอบเกราะยูเรเนียมหมดอายุรุ่นที่สามเป็นการเคลือบเกราะด้วยกราไฟท์
- เอ็ม1เอ3: เป็นรุ่นที่อยู่ในการพัฒนา โดยจะมีต้นแบบออกมาให้เห็นในปี พ.ศ. 2557 และจะใช้งานได้จริงในปี พ.ศ. 2560[33] การพัฒนานั้นมีทั้งการใช้ปืนขนาด 120 มิลลิเมตรที่มีน้ำหนักเบากว่า การเพิ่มล้อที่มีระบบกันการสั่นสะเทือน สายพานที่ทนทานขึ้น เกราะที่เบาลง อาวุธระยะไกลที่มีความแม่นยำ กล้องอินฟราเรด และตัวตรวจจับเลเซอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ภายในแบบใหม่จะถูกติดตั้งเข้าไป โดยจะแทนที่ระบบลวดด้วยสายที่เป็นไฟเบอร์ออบติก ซึ่งสามารถลดน้ำหนักของรถถังลงไปได้ถึงสองตัน[34]
- เอ็ม1 ทีทีบี (Tank Test Bed): เป็นรุ่นต้นแบบที่ใช้ป้อมปืนไร้คน จะมีลูกเรือสามคนในแคปซูลหุ้มเกราะที่ส่วนหน้าของรถถัง อาวุธหลักคือปืนขนาด 120 มิลลิเมตร ปืนเอ็ม256 ที่อาจถูกดัดแปลง และระบบบรรจุกระสุนอัตโนมัติ
- ซีเอทีทีบี – เป็นรุ่นทดลองที่มีปืนขนาด 140 มิลลิเมตร ป้อมปืนหุ้มเกราะหนัก และตัวถังที่ถูกยกระดับมาจากเอ็ม1 ทั่วไป มันมีระบบบรรจุกระสุนในตัวป้อมปืน เครื่องยนต์ใหม่ และอาจรวมทั้งการยกระดับอื่น ๆ อีก รถถังรุ่นนี้ได้เข้าทำการทดสอบในปี พ.ศ. 2530–2531 ซีเอทีทีบีเป็นตัวย่อจาก Component Advanced Technology Test Bed หรือ ตัวทดสอบส่วนประกอบเทคโนโลยีขั้นสูง[35]
- เอ็ม1ซีเอ็มวี (Combat Mobility Vehicle)[36]
- พาหนะเก็บกวาดทุ่นระเบิดควบคุมจากระยะไกล เอ็ม1 แพนเทอร์ 2[37]
- รถสะพานจู่โจมขนาดหนัก เอ็ม104 วูล์ฟเวอรีน[38]
- ระบบเก็บกวาดทุ่นระเบิดด้วยใบมีดและส่วนหมุน เอ็ม1 แพนเทอร์ 2
- พาหนะโจมตีฝ่าแนวรบ เอ็ม1เอบีวี: เป็นรุ่นสำหรับการโจมตีของนาวิกโยธินสหรัฐ มันสร้างขึ้นจากโครงรถของเอ็ม1เอ1 รถถังรุ่นนี้ได้ติดตั้งหลายระบบลงไป เช่น พลั่วกวาดทุ่นระเบิด สายระเบิดสำหรับกวาดระเบิด และระบบทำเครื่องหมายเส้นทาง นอกจากนี้ยังมีเกราะที่ป้องกันอาวุธความร้อนสูงอีกด้วย ป้อมปืนของรถถังรุ่นนี้ได้ถูกแทนที่ด้วยเครื่องยิงจรวดเอ็มไอซีแอลไอซีที่ด้านหลังแทน ปืนเอ็ม2เอชบี ขนาด .50 ถูกทำให้เป็นปืนควบคุมด้วยรีโมต และมีเครื่องยิงลูกระเบิดที่ติดอยู่ที่ด้านข้างของรถถังเพื่อป้องการโจมตีจากด้านหน้า[39][40]
- พาหนะกู้ซากหุ้มเกราะ เอ็ม1 มีเพียงต้นแบบเพียงคันเดียวเท่านั้น
รายละเอียด
เอ็ม1 | เอ็ม1ไอพี | เอ็ม1เอ1 | เอ็ม1เอ2 | เอ็ม1เอ2เอสอีพี | |
---|---|---|---|---|---|
ปีที่ผลิต | พ.ศ. 2522–28 | พ.ศ. 2527 | พ.ศ. 2529–35 | พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา | |
ความยาว | 9.77 เมตร | ||||
ความกว้าง | 3.7 เมตร | ||||
ความสูง | 2.37 เมตร | 2.4 เมตร | |||
ความเร็วสูงสุด | 72 กม./ชม. | 66.8 กม./ชม. | 68 กม./ชม. | ||
พิสัย | 500 กิโลเมตร | 463 กิโลเมตร | 391 กิโลเมตร | ||
น้ำหนัก | 55.7 ตัน | 57 ตัน | 61.3 ตัน | 62.1 ตัน | 63 ตัน |
อาวุธหลัก | ปืนใหญ่ลำกล้องเกลียว เอ็ม68 ขนาด 105 มม. | ปืนใหญ่ลำกล้องเกลี้ยง เอ็ม 256 ขนาด 120 มม. | |||
ลูกเรือ | 4 นาย (ผู้บัญชาการรถถัง, พลปืน, พลบรรจุ, พลขับ) |
หมายเหตุ: รถถังทุกรุ่นมีกำลังเครื่องยนต์ 1,500 แรงม้า
อุปกรณ์เพิ่มการอยู่รอดในเขตเมือง
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/91/OCPA-2005-03-09-165522.jpg/220px-OCPA-2005-03-09-165522.jpg)
อุปกรณ์เพิ่มการอยู่รอดในเขตเมือง (Tank Urban Survival Kit) หรือ ทัสค์ (TUSK) เป็นชุดเสริมสำหรับเอ็ม1 เอบรามส์ที่สร้างมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นเมือง[41] สนามรบที่เป็นเมืองหรือมีพื้นที่แคบนั้นเป็นที่ที่อันตรายสำหรับรถถังทุกชนิด เพราะว่ามีเพียงเกราะส่วนหน้าของรถถังเท่านั้นที่มีความแข็งแกร่งกว่าเกราะส่วนอื่น ๆ ซึ่งในเขตเมือง การโจมตีจะสามารถมาได้จากทุกทิศทาง ศัตรูสามารถเข้าใกล้รรถถังในระยะที่สามารถโจมตีจุดอ่อนของรถถังได้ง่ายดาย หรืออาจเข้าโจมตีที่ส่วนบนของรถถังได้
การยกระดับเกราะนั้นมีทั้งเกราะปฏิกิริยาแรงระเบิด (Explosive Reactive Armor, ERA) แบบอารัต (ARAT, Abrams Reactive Armor) ที่ด้านข้างของรถถังและเกราะแบบตะแกรงที่ด้านหลังเพื่อป้องกันลูกระเบิดขับเคลื่อนด้วยจรวดและหัวรบติดระเบิดแบบอื่น ๆ
เกราะใสสำหรับปืนและระบบกล้องจับความร้อนถูกติดตั้งให้กับส่วนบนของรถถังที่มีปืนกล เอ็ม240 ขนาด 7.62 มม.ติดอยู่ นอกจากนี้ยังมีติดตั้งระบบควบคุมด้วยรีโมตคองส์เบิร์ก กรุพเพนสำหรับปืนขนาด .50 คาลิเบอร์ที่ส่วนของผู้บัญชาการรถถัง โดยที่ผู้บัญชาการไม่ต้องออกมายิงปืนด้วยตัวเอง ที่ด้านนอกรถถังยังมีโทรศัพท์เพื่อให้ทหารราบที่ด้านนอกรถถังสามารถติดต่อกับผู้บัญชาการรถถังได้อีกด้วย
ระบบทัสค์เป็นอุปกรณ์ที่สามารถติดตั้งขณะออกรบได้ ซึ่งมันทำให้รถถังสามารถถูกยกระดับได้โดยไม่ต้องพึ่งโรงซ่อมบำรุง เกราะปฏิกิริยาแรงระเบิดนั้นอาจไม่จำเป็นนักเพราะสถานการณ์ส่วนใหญ่รถถังจะต้องเคลื่อนไหวอยู่เสมอจึงเป็นการยากที่จะถูกยิง แต่สำหรับเกราะท้าย เกราะสำหรับพลบรรจุ โทรศัพท์สำหรับทหารราบ และระบบควบคุมอาวุธด้วยรีโมตคองส์เบิร์คนั้นเป็นสิ่งถูกติดตั้งให้กับรถถังเอ็ม1เอ2 ทุกคัน
ประเทศผู้ใช้งาน
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/21/M1_Abrams_tank_operators_map.png/400px-M1_Abrams_tank_operators_map.png)
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/c/cc/Abrams_in_Tahrir.jpg/220px-Abrams_in_Tahrir.jpg)
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/3f/M1_Abrams_tanks_in_Iraqi_service%2C_Jan._2011.jpg/220px-M1_Abrams_tanks_in_Iraqi_service%2C_Jan._2011.jpg)
ยูเครน – กองทัพยูเครน: รัฐบาลสหรัฐจัดส่งรุ่น M1A2 Abrams ให้กองทัพยูเครนจำนวน 31 คัน เพื่อใช้ป้องกันประเทศจากการรุกรานของรัสเซีย
ออสเตรเลีย – กองทัพบกออสเตรเลีย: มีรถถังรุ่นเอ็ม1เอ1เอไอเอ็ม 59 คัน สั่งซื้อจากสหรัฐเมื่อปี พ.ศ. 2549 เพื่อนำมาแทนที่รถถังลีโอพาร์ด เอเอส1 ในปี พ.ศ. 2550[42]
อียิปต์ – กองทัพบกอียิปต์: มีรถถังเอ็ม1เอ1 1,005 คันที่ร่วมผลิตโดยสหรัฐและอียิปต์[43] นอกจากนี้ยังได้สั่งซื้อรถถังอีก 125 คัน[44]
อิรัก – กองทัพบกอิรัก: มีรถถังเอ็ม1เอ1เอ็ม 140 คัน (เป็นแบบที่ถูกลดระดับโดยไม่ติดตั้งเกราะที่มียูเรเนียมหมดอายุลงไป) อิรักเคยเช่าเอ็ม1เอ1 22 คันจากกองทัพบกสหรัฐเมื่อปี พ.ศ. 2551[30][45][46][47] รถถัง 11 คันแรกถูกส่งให้กับกองทัพบกอิรักเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2553[48] รถถังทั้งหมดถูกส่งมอบในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2554[49] ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 มีรายงานว่าอิรักได้รับรถถังเพิ่มอีกหกคันเรียบร้อยแล้ว[50]
คูเวต – กองทัพบกคูเวต: มีรถถังเอ็ม1เอ2 218 คัน (เป็นแบบที่ถูกลดระดับโดยไม่ติดตั้งเกราะที่มียูเรเนียมหมดอายุลงไป)[51]
โมร็อกโก – กองทัพบกโมร็อกโกมี M-1 ไช้งานอยู่ประมาน 222 คัน เป็นรุ่น M1A1 SA
ซาอุดีอาระเบีย – กองทัพบกซาอุดีอาระเบีย: มีรถถังเอบรามส์ 373 คัน[52] โดยทั้งหมดจะถูกยกระดับเป็นเอ็ม1เอ2เอสในซาอุดีอาระเบีย[52] มีเอ็ม1เอ2เอส อีก 69 คันที่ถูกสั่งซื้อเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556 โดยจะทำการส่งในวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557[53]
สหรัฐ – กองทัพบกสหรัฐและเหล่านาวิกโยธินสหรัฐมีรถถังทั้งหมดประมาณ 8,725 คัน ประกอบด้วยรุ่นเอ็ม1 เอ็ม1เอ1 และเอ็ม1เอ2[54]
ประเทศที่อาจจะประจำการ
บราซิล – เนื่องจากบราซิลได้เป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศ พันธมิตรหลักนอกเนโท ของสหรัฐฯในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เสนอรถถังเอ็ม1เอ1 ในคลังให้กับกองทัพบราซิล จำนวน 110 ถึง 130 คัน โดยจะได้รับการปรับปรุงจากในสหรัฐฯ และจะประจำการในฐานะรถถังหลักของบราซิลเป็นระยะเวลา 20 ปี[55][56][57][58]
กรีซ – กองทัพบกกรีซ: สหรัฐได้เสนอรถถังเอ็ม1เอ1 ที่ใช้แล้ว 400 คันให้กับกรีซ[59][60] แต่ตอนนี้คาดว่าโครงการล้มไปแล้วเนื่องจากวิฤกติหนี้สินกรีซ
โมร็อกโก – กองทัพบกโมร็อกโก: รถถังเอ็ม1เอ1 200 คันถูกขอมาในปี พ.ศ. 2554 หน่วยงานความมั่นคงได้รายงานให้กับสภาคองเกรสทราบถึงการซื้อขายทางการทหารกับต่างประเทศที่เป็นไปได้ในการยกระดับรถถังในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555 การขายนั้นประกอบด้วยการขายอุปกรณ์ยกระดับให้กับรถถังเอบรามส์ อย่าง เกราะพิเศษ การปรับปรุงรถถัง และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง[31][61]
เปรู - กองทัพบกเปรู: ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 กองทัพเปรูได้ทำการทดสอบรถถังที่จะมาแทนที่ที-55 โดยมีเอ็ม1เอ1 เป็นผู้ได้รับการทดสอบด้วย อาจมีการสั่งซื้อรถถัง 120 หรือ 170 คัน รถถังเอบรามส์จะต้องทดสอบแข่งกับรถถังที-90เอส ลีโอพาร์ด 2เอ4/เอ6 ที-64 และที-84[62]
ไต้หวัน – กองทัพบกสาธารณรัฐจีน: รัฐบาลไต้หวันกำลังพิจารณาการสั่งซื้อรถถังเอ็ม1เอ1 ที่ใช้แล้ว 200 คันจากสหรัฐ[63]
ไทย – กองทัพบกไทย: รัฐบาลไทยกำลังพิจารณาการสั่งซื้อรถถังเอ็ม1 เอ2และเอ็ม1 เอ1ที่ใช้แล้ว 20 คันจากสหรัฐ[64]