เมขลา
เมขลา หรือ มณีเมขลา เป็นเทพธิดาประจำทะเล และเป็นนางผู้ถือดวงแก้วล่อให้รามสูรขว้างขวานจนทำให้เกิดฟ้าร้อง แต่นางก็โยนแก้วล่อไปล่อมาทำให้เกิดฟ้าแลบแสบตา[1] ทั้งนี้ท้าวโลกบาลทั้งสี่ได้มอบหมายให้คอยช่วยเหลือผู้มีบุญญาที่ตกน้ำ[2] โดยปรากฏในชาดกเรื่อง พระมหาชนก ซึ่งเมขลาเข้าช่วยเหลือเจ้าชายมหาชนกจากเรืออัปปาง[3] และปรากฏใน สมุทรโฆษคำฉันท์ ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ก็มีการกล่าวถึงเมขลาเข้าช่วยพระสมุทรโฆษที่ลอยคออยู่กลางทะเลเจ็ดวัน[4][5]
เมขลา | |
---|---|
เทพีแห่งทะเล | |
![]() เมขลากับรามสูร | |
เป็นที่บูชาใน | พุทธ |
อาวุธ | ดวงแก้ว |
เป็นที่นับถือใน | กัมพูชา · พม่า · ไทย |
ทั้งนี้ฉากรามสูรไล่จับเมขลาไม่ปรากฏในวรรณคดีอินเดียใด ๆ[6] แต่ในประเทศไทยมีการประดิษฐ์ฉากดังกล่าวให้เป็นท่าระบำที่มีลักษณะสนุกสนานสำหรับการแสดงเบิกโรง[7][8]
ที่มาของชื่อ
เมขลา เป็นภาษาบาลี แปลว่า "สายรัดเอว" หรือ "เข็มขัดสตรี" บ้างว่าหมายถึงจับปิ้ง อันเป็นเครื่องประดับอวัยวะเพศหญิง[6] ประเทศไทยใช้ชื่อ "เมขลา" มาตั้งเป็นชื่อของพายุหมุนเขตร้อนในปี พ.ศ. 2548 และ 2551 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังใช้เป็นชื่อรางวัลผลงานดีเด่นทางโทรทัศน์ และศูนย์ป้องกันวิกฤตน้ำ
ประวัติ
ในอรรถกถาสังขชาดกระบุว่าเมขลาเป็นเทพธิดาที่ได้รับมอบหมายจากท้าวโลกบาลทั้ง 4 เพื่ออารักขาทะเล โดยสั่งว่าถ้าเรือมาแตกลง มนุษย์ที่ถือไตรสรณคมน์ก็ดี มีศีลสมบูรณ์ก็ดี ปฏิบัติชอบในมารดาบิดาก็ดี มาตกทุกข์ในสมุทรนี้ พึงพิทักษ์รักษาเขาไว้[9]
ตามนิยายพื้นบ้านของไทย ได้ยกเรื่องเมขลามาอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ฟ้าแลบและฟ้าร้อง โดยเล่าว่าเมขลามีแก้ววิเศษประจำตัว รามสูรเห็นดังนั้นก็พอใจในดวงแก้วและความงามของเมขลาจึงเที่ยวไล่จับ เมื่อจับไม่ทันก็เอาขวานขว้างแต่ไม่ถูก เนื่องจากนางใช้แก้วล่อจนมีแสงเป็นฟ้าแลบทำให้รามสูรตาพร่ามัวขว้างขวานไม่ถูก[10] บ้างว่าเป็นเพราะรามสูร เมขลา และพระประชุนมาชุมนุมรื่นเริงกัน พระประชุนคือพระอินทร์ในสมัยพระเวทที่มีหน้าที่ทำให้เกิดพายุฝน พระอินทร์ในหน้าที่นี้เรียกว่า ปรรชันยะ หรือ ปรรชัยนวาต ไทยเรียกเป็นพระประชุน เมื่อมีการชุมนุมรื่นเริงกันของเทพแห่งฝน เมขลาผู้มีดวงแก้วและรามสูรผู้มีขวานจึงทำให้เกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า[10] เข้าใจว่าเดิมคงเป็นมุขปาฐะเล่าเรื่องดินฟ้าอากาศของคนสมัยก่อน โดยให้เสียงฟ้าร้องเป็นยักษ์ถือขวาน นางฟ้าถือดวงมณี และให้สภาพอากาศเป็นเทวดา ภายหลังจึงแผลงให้เป็นอินเดียด้วยการใส่ชื่อเทวดาที่มีลักษณะคล้ายกันคือ รามสูร เมขลา และอรชุน ตามลำดับ[7]
ขณะที่เสฐียรโกเศศและนาคะประทีปกล่าวถึงเมขลาว่านางสมุทรเทวี คือเทพธิดารักษาสมุทรไท และเทพธิดาสำหรับฝน[11] ในวรรณคดี เฉลิมไตรภพ ได้อธิบายว่า มีพระยามังกรการตนหนึ่งอมแก้วไว้เสมอ จะไปไหนก็เอาดวงแก้วทูนศีรษะไว้ มังกรการได้แปลงเป็นเทวดาไปสมสู่กับนางฟ้ามีบุตรีชื่อ เมขลา[12] เมื่อเจริญวัยขึ้นมีความงามยิ่ง มังกรการได้นำบุตรีและดวงแก้วไปมอบแก่พระอิศวร ครั้งหนึ่งเมขลาได้ขโมยดวงแก้ววิเศษนั้นไป ราหูผู้มีครึ่งตัวเพราะถูกจักรพระนารายณ์เมื่อครั้งแปลงเป็นเทวดาไปดื่มน้ำอมฤต ได้อาสาไปจับเมขลา และได้ชวนรามสูรผู้เพื่อนไปด้วย รามสูรได้ขว้างขวานจนกลายเป็นฟ้าลั่น[10] ดังที่สุนทรภู่ได้แต่งกลอนอธิบายการล่อแก้วของเมขลาและการขว้างขวานของรามสูรไว้ ความว่า[13]
๏ เมขลากล้าแกล้ว | ล่อแก้วแววไว | |
โยนสว่างเหมือนอย่างไฟ | ปลาบไนยเนตรมาร |
๏ หน้ามืดฮืดฮาด | เกรี้ยวกราดโกรธทยาน | |
แค้นนางขว้างขวาน | เปรี้ยงสท้านโลกา |
๏ ฤทธิ์แก้วแคล้วคลาศ | ยิ่งกริ้วกราดโกรธา | |
โลดไล่ไขว่คว้า | เมขลาล่อเวียน |
๏ ยักษ์โถมโจมโจน | นางก็โยนวิเชียร | |
หลีกลัดฉวัดเฉวียน | ล่อเวียนวงวล |
๏ เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงขวาน | ก้องสท้านสากล | |
ไล่นางกลางฝน | มืดมนท์ในเมฆา |
๏ นวลนางนั้นช่างล่อ | รั้งรอร่อนรา | |
เวียนรไวไปมา | ในจักรราศีเอย ๚ |
ในวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชว่า เทศกาลวสันต์คราวหนึ่งนางอัปสรและเทวดาต่าง ๆ มาร่วมจับระบำกัน เมขลาเองก็ถือแก้วมณีไปร่วมจับระบำด้วย รามสูรเห็นดังนั้นจึงไล่จับนางเมขลา แต่พระอรชุนเหาะมาพอดี ด้วยความโกรธรามสูรจึงจับสองขาพระอรชุนไปฟาดเหลี่ยมเขาพระสุเมรุจนตาย[10]
ลักษณะ
ในบทเห่กล่อมพระบรรทม เห่เรื่อง "จับระบำ" ที่แต่งโดยสุนทรภู่ ได้พรรณนาเกี่ยวกับลักษณะของเมขลาที่กำลังล่อแก้วอยู่บนท้องฟ้า และมีความงามดุจกินรี ความว่า
เห่เอยนางเอก | มณีเมขลา | |
ลอยเร่ในเมฆา | ถือจินดาดั่งดวงดาว |
โยนเล่นเห็นแก้ว | สว่างแวววามวาว | |
ลอยฟ้าเวหาหาว | รูปราวกับกินรี |
ทรงเครื่องเรืองจำรัส | อร่ามรัศมีฉวี | |
ชูช่วงดวงมณี | เลื่อนลอยลีลามา |
เลียบรอบขอบทวีป | อยู่กลางกลีบเมฆา | |
เชยชมยมนา | เฝ้ารักษาสินธุ |
เมขลาในประเทศต่าง ๆ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4a/Makkhala_Wat_No.jpg/250px-Makkhala_Wat_No.jpg)
เรื่องราวของเมขลา มักปรากฏตามจิตกรรมฝาผนังของวัดในประเทศอุษาคเนย์ที่นับถือพุทธศาสนาโดยภาพมาจากฉากในเรื่อง พระมหาชนก[3] โดยในไทยและกัมพูชาได้มีการแสดง "เมขลาล่อแก้ว" ทั้งนี้ในราชสำนักกัมพูชาได้มีพิธีกรรมขอฝนด้วยการเต้นดังกล่าวเพื่อเป็นการบวงสรวงเทวดาเพื่อบังคับฝน ถือเป็นเรื่องสวัสดิมงคล[6][14] โดยชาวเขมรเชื่อว่าแก้วของเมขลาคือไฟแลบ แต่ตามหลักปรณัมศาสตร์ ควรเป็นสัญลักษณ์ของพระจันทร์เสียมากกว่า[15] ส่วนในไทยโดยมากเชื่อว่าเมขลาคือเทพธิดารักษาสมุทรไท[4][11]
ในอดีตชนชั้นสูงในไทยมักระบำเบิกโรงเมขลารามสูรโดยถือเป็นมงคล มีหลักฐานว่ามีอยู่ในราชสำนักมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และเป็นต้นตำรับของละครใน ซึ่งตกทอดมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์[16] ส่วนโรงละครเองก็ประดับประดารูปสลักหรือภาพวาดเมขลารามสูรล่อแก้วถือเป็นมงคลอีกเช่นกัน[6]
ประเทศจีน
ตามคติจีน มีเทพที่ใกล้เคียงกับเมขลาอีกสององค์คือเง็กนึ้ง (จีน: 玉女; พินอิน: yùnǚ; แปลว่า "นางหยก") และอีกองค์คือเตียนบ๊อ (จีน: 電母; พินอิน: diàn mǔ; แปลว่า "เจ้าแห่งสายฟ้า") ต่างกับเมขลาคือถือธงหรือกระจกเงาให้มีแสงแวบวับเป็นสัญญาณให้ลุ่ยกง (จีน: 雷公; พินอิน: léi gōng; แปลว่า "เจ้าแห่งฟ้าร้อง") รู้ก่อนว่าผู้ใดมีใจชั่วควรลงโทษด้วยการใช้ฟ้าผ่า[17]
ประเทศศรีลังกา
ปรากฏในกาพย์ของชาวทมิฬ เรื่อง มณิเมกะไล (ทมิฬ: மணிமேகலை)[18][19] เป็นเทพธิดาแห่งท้องทะเล โดยถือเป็นเทพสตรีที่นอนหลับไหลอยู่บนเกาะมณีปัลลาวัม (ปัจจุบันคือ เกาะนยิณาตีวู) รจนาขึ้นโดยจิตตาไล จัตตานาร์ ถือเป็นมหากาพย์หนึ่งในห้าที่มีชื่อเสียงของชาวทมิฬ[20]
ในวัฒนธรรมร่วมสมัย
เรื่องราวของเมขลา ได้รับการประพันธ์เป็นเพลง "เมขลาล่อแก้ว" ซึ่งเป็นจังหวะรำวง ขับร้องโดยเบญจมินทร์[21] โดยพรรณนาถึงฉากที่เมขลาล่อแก้วกับรามสูร ส่วนในเพลง "ปักตะไคร้" ของวงบุดดาเบลส ในมิวสิกวีดิโอมีฉากที่เมขลาล่อแก้วจนก่อให้เกิดฟ้าผ่า ส่วนเนื้อหาของเพลงมิได้กล่าวถึงเมขลา[22]
นอกจากนี้ยังมีวรรณกรรมคือ พระมหาชนก พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่มีฉากนางมณีเมขลาเหาะลงมาช่วยพระมหาชนก ในปี พ.ศ. 2549 ได้มีการจัดการแสดง มหานาฏกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระมหาชนก เพื่อเทิดพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัว โดยนำเค้าโครงจากพระราชนิพนธ์ดังกล่าวมาจัดแสดงในรูปแบบนาฏกรรม[23]