อะเล็กซานเดรีย
อะเล็กซานเดรีย[6] (อังกฤษ: Alexandria, ออกเสียง: /ˌælᵻɡˈzændriə/ หรือ /ˌælᵻɡˈzɑːndriə/) หรือในภาษาอาหรับเรียก อัลอิสกันดะรียะฮ์ (อาหรับ: الإسكندرية; กรีก: Ἀλεξάνδρεια) เป็นเมืองใหญ่อันดับสองในประเทศอียิปต์ รองจากกรุงไคโร มีประชากรประมาณ 5 ล้านคน เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญทอดตัวยาวประมาณ 32 กม. (20 ไมล์) ตามแนวชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในส่วนกลางของภาคเหนือของประเทศ ระดับความสูงของพื้นที่ซึ่งตั้งอยู่บนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น อะเล็กซานเดรียเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญ เนื่องจากมีการต่อเชื่อมท่อแก๊สธรรมชาติและท่อส่งน้ำมันจากเมืองสุเอซ และเมืองนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศอียิปต์ด้วย
อะเล็กซานเดรีย | |
---|---|
เรียงตามเข็มนาฬิกาจากด้านบน: ทัศนียภาพของเขตชัฏบย์และถนนคลองสุเอช; เส้นขอบฟ้าของเขตตะวันออก (เขตชารก์); สะพานสแตนเลย์; พระราชวังมุนตซาฮ์; หอสมุดอะเล็กซานเดรียและรูปปั้นของฟาโรห์ทอเลมีที่ 2 ฟิลาเดลฟัส; ศูนย์วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับหอดูดาว (พร้อมกับถนนตามหน้าผา [Corniche] อยู่ด้านหลัง) | |
สมญา: Mediterranean's Bride, ไข่มุกแห่งเมดิเตอร์เรเนียน, อะเล็กซ์ | |
พิกัด: 31°11′51″N 29°53′33″E / 31.19750°N 29.89250°E | |
ประเทศ | อียิปต์ |
เขตผู้ว่าราชการ | อะเล็กซานเดรีย |
ก่อตั้ง | 331 ปีก่อน ค.ศ. |
ก่อตั้งโดย | อเล็กซานเดอร์มหาราช |
การปกครอง | |
• ผู้ว่าราชการ | Mohamed Taher El-Sherif[1][2] |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 1,661 ตร.กม. (641 ตร.ไมล์) |
ความสูง | 5 เมตร (16 ฟุต) |
ประชากร (ค.ศ. 2022[3]) | |
• ทั้งหมด | 6,050,000 คน |
• ความหนาแน่น | 3,600 คน/ตร.กม. (9,400 คน/ตร.ไมล์) |
เดมะนิม | ชาวอะเล็กซานเดรีย (อาหรับ: إسكندراني) |
เขตเวลา | UTC+2 (เวลามาตรฐานอียิปต์) |
รหัสไปรษณีย์ | 21500 |
รหัสพื้นที่ | (+20) 3 |
เว็บไซต์ | alexandria.gov.eg |
| ||||
r-ꜥ-qd(y)t (อะเล็กซานเดรีย)[4][5] ในไฮเออโรกลีฟอียิปต์ | ||||
---|---|---|---|---|
ประวัติศาสตร์
ยุคโบราณ
เชื่อกันว่าเมืองอะเล็กซานเดรีย (Alexandreia; กรีกโบราณ: Ἆλεξάνδρεια) ก่อตั้งโดย อเล็กซานเดอร์มหาราช ในเดือนเมษายน 331 ปีก่อนคริสตกาล หัวหน้าสถาปนิกของจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์สำหรับโครงการนี้คือ ดิโนเครเตส แห่งโรดส์ (Dinocrates; กรีกโบราณ: Δεινοκράτης ο Ρόδιος) อะเล็กซานเดรียถูกสถาปนาขึ้น เพื่อที่จะมาแทนที่เมืองนัฟคราติส (Naucratis; กรีกโบราณ: Ναύκρᾰτις; ภาษาอียิปต์โบราณเรียกว่า Piemro; คอปติก: Ⲡⲓⲏⲙⲣⲱ) ในฐานะศูนย์กลางอารยธรรมเฮลเลนิสต์ในอียิปต์และเป็นจุดเชื่อมระหว่างกรีกกับหุบเขาไนล์ที่มั่งคั่ง แม้ว่าจะเชื่อกันมานานแล้วว่าก่อนหน้านั้นมีเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณนั้น แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการค้นพบเศษเปลือกหอยและการปนเปื้อนของตะกั่วซึ่งจากการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี แสดงถึงการมีกิจกรรมของมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญมากว่าสองพันปี ก่อนหน้าการก่อตั้งเมืองอะเล็กซานเดรีย[7]
อเล็กซานเดรียเป็นศูนย์กลางทางปัญญาและวัฒนธรรมของโลกโบราณในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมืองและพิพิธภัณฑ์ดึงดูดนักวิชาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหลายคนทั้งชาวกรีก ชาวยิว และชาวซีเรีย ต่อมาภายหลังเมืองถูกชิงปล้นและสูญเสียความสำคัญลง[8]
ในช่วงยุคต้นของคริสตจักร เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของเขตอัครบิดรแห่งอะเล็กซานเดรีย ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่สำคัญของศาสนาคริสต์ยุคแรกในจักรวรรดิโรมันตะวันออก ในยุคสมัยใหม่คริสตจักรคอปติกออร์โธดอกซ์ และคริสตจักรกรีกออร์โธดอกซ์แห่งอะเล็กซานเดรียต่างก็อ้างสิทธิ์เป็นผู้สืบทอดเขตอำนาจการปกครองนี้
ทางตะวันออกของเมืองอะเล็กซานเดรีย ซึ่งตอนนี้คืออ่าวอะบุ กีร (Abu Qir; อาหรับ: خليج أبو قير) ในสมัยโบราณเป็นที่ลุ่มและหมู่เกาะหลายแห่ง ในช่วงเริ่มต้นของศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล มีเมืองท่าสำคัญคือ คาโนปอส (Canopus; กรีกโบราณ: Κάνωπος; คอปติก: Ⲡⲓⲕⲩⲁⲧ) และ เอราคลิออน (Heracleion; กรีกโบราณ: Ἡράκλειον; คอปติก: ⲧϩⲱⲛⲓ) ซึ่งพึ่งจะถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีใต้น้ำเมื่อเร็ว ๆ นี้
ชุมชนของอียิปต์ที่ชื่อ ราคอติ Rhakotis มีอยู่ก่อนแล้วบนแนวชายฝั่งก่อนที่จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นอะเล็กซานเดรีย ในภาษาอียิปต์โบราณ rˁ-ḳṭy.t (คอปติก: ⲣⲁⲕⲟϯ (Bohairic), ⲣⲁⲕⲟⲧⲉ (Sahidic)) นั้นแปลว่า "บริเวณที่ถูกสร้างขึ้น" ซึ่งชื่อนี้ถูกใช้ต่อเนื่องในส่วนของชาวอียิปต์ในเมืองอะเล็กซานเดรีย ไม่กี่เดือนหลังจากการก่อตั้งจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ได้ออกจากอียิปต์ และไม่เคยกลับมาที่เมืองอีก หลังจากนั้นอุปราช คลีโอเมเนส (Cleomenes of Naucratis; กรีกโบราณ: Kλεoμένης) ยังคงทำการขยายเมืองต่อไป หลังจากการต่อสู้กับผู้สืบทอดคนอื่นของจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ นายพล ทอเลมี (Ptolemy Lagides) หรือต่อมาคือทอเลมีที่ 1 โซเตอร์ (กรีกโบราณ: Πτολεμαῖος Σωτήρ) ประสบความสำเร็จในการเชิญพระศพของจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์มาสู่เมืองอะเล็กซานเดรีย แม้ว่าในท้ายที่สุดพระศพจะหายไป หลังจากถูกนำออกจากสุสานฝังพระศพ[9]
แม้ว่าคลีโอเมเนส จะรับผิดชอบดูแลการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเมืองอะเล็กซานเดรีย แต่โครงการสร้าง เอปตาสตาดิออน (Heptastadion, กรีกโบราณ: Ὲπταστάδιον) เขื่อนกันคลื่นและถนนในทะเลไปยังเกาะฟาโรส และส่วนเชื่อมโยงในเขตแผ่นดินดูเหมือนจะเป็นงานหลักของราชอาณาจักรทอเลมี การแทนที่การค้าที่เสื่อมโทรมลงของ ไทร์ Tyre (ฟินิเชีย:
, Ṣur) เมืองท่าสำคัญของฟินิเชีย ทำให้เมืองกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของการค้าระหว่างยุโรป, อาหรับ และอินเดียในทิศตะวันออก ทำให้เมืองนี้ใช้เวลาเติบโตน้อยกว่าหนึ่งชั่วคนก็มีขนาดที่ใหญ่กว่านครคาร์เธจ (พิวนิก:
, qrt-ḥdšt) ในเวลาหนึ่งศตวรรษเมืองอะเล็กซานเดรียได้กลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก และอีกหลายศตวรรษต่อจากนั้นก็มีขนาดเป็นที่สองรองเพียงแต่กรุงโรม เมืองนี้กลายเป็นเมืองหลักของกรีกในอียิปต์ ที่มีพลเมืองชาวกรีกมาจากหลากหลายภูมิหลัง[10]
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/5/51/PhareAlexandrie.jpg/220px-PhareAlexandrie.jpg)
จักรพรรดิก็อมมอดุส)
อะเล็กซานเดรียไม่เพียง แต่เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมเฮลเลนิสต์เท่านั้น แต่ยังเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวยิวที่ใหญ่ที่สุดในโลก คัมภีร์ฮิบรู (อังกฤษ: Tanakh; ฮีบรู: תנ"ך) ฉบับแปลภาษากรีกหรือคัมภีร์สารบบเซปตัวจินต์ (ละติน: septuaginta; กรีกโบราณ: Ἑβδομήκοντα; ตัวย่อ: LXX, ) ได้สร้างขึ้นที่เมืองนี้ ในช่วงต้นฟาโรห์ในราชวงศ์ทอเลมีให้มีการจัดระบบและส่งเสริมการพัฒนาของพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ นำไปสู่การเป็นผู้นำของศูนย์การเรียนรู้อารยธรรมเฮลเลนิสต์ (ห้องสมุดแห่งอะเล็กซานเดรีย) ขณะเดียวกันก็มีความระมัดระวังในการรักษาเอกลักษณ์ความแตกต่าง ของประชากรสามเชื้อชาติที่มีจำนวนมากที่สุดคือ กรีก, ยิว และอียิปต์ด้วย[11] เมื่อถึงยุคสมัยของจักรพรรดิเอากุสตุสกำแพงเมืองได้ล้อมรอบพื้นที่ 5.34 ตารางกิโลเมตร (2.64 salta) และมีประชากรทั้งหมดในสมัยโรมันประมาณ 300,000 คน[12]
จากงานเขียนของไฟโลแห่งอะเล็กซานเดรีย (ฮีบรู: יְדִידְיָה הַכֹּהֵן) ในปีที่ 38 ของสากลศักราช ความโกลาหลปะทุขึ้นระหว่างพลเมืองชาวยิวและชาวกรีก ในระหว่างการมาเยือนเมืองอะเล็กซานเดรียของ"กษัตริย์แห่งชาวยิว" อกริปปาที่ 1 (ละติน: Agrippa I หรือ Herod Agrippa; ฮีบรู: אגריפס) แห่งราชอาณาจักรเฮโรดแห่งยูเดีย โดยเป้าหมายหลักคือต้องการยกเลิกการส่งบรรณาการของรัฐยิวให้กับจักรพรรดิโรมัน การดูหมิ่นระหว่างชนสองเชื้อชาติและความรุนแรงถูกยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการทำลายธรรมศาลาแห่งอะเล็กซานเดรีย ซึ่งเป็นศาสนสถานในศาสนายูดาห์ ความรุนแรงถูกปราบปรามหลังจากจักรพรรดิกาลิกุลา (ละติน: Caligula) เข้าแทรกแซงและเนรเทศผู้ปกครองชาวโรมันฟลัคคุส (ละติน: Aulus Avilius Flaccus) ออกจากเมือง[13]
ในปี ค.ศ. 115 ส่วนใหญ่ของเมืองอะเล็กซานเดรียถูกทำลายระหว่างสงครามคิตอส (ละติน: Seditio Kitos หรือ Tumultus Iudaicus; ฮีบรู: מרד הגלויות) ซึ่งทำให้จักรพรรดิฮาดริอานุสและเดคริอันนุส (Decriannus) ซึ่งเป็นสถาปนิกของเขาได้มีโอกาสสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ ในปี ค.ศ. 215 จักรพรรดิการากัลลา (Caracalla; กอล: Καρακάλλας) เดินทางมาเยือนเมืองและเพียงเพราะมีวรรณกรรมเชิงเหน็บแนมดูถูก พรรณาว่าประชาชนสามารถสั่งการเขาได้ จู่ ๆ จักรพรรดิก็สั่งให้กองทัพของเขาสังหารเยาวชนที่มีอายุพอจะจับอาวุธได้ทุกคน ในวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 365 (เหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ครีต ค.ศ. 365)[14] อะเล็กซานเดรียได้รับความเสียหายจากสึนามิ (ละติน: Megacyma) มีการรำลึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเวลาต่อมาในชื่อ "วันแห่งความหวาดกลัว"[15]
ยุคของนบีมูฮัมมัด
ปฏิสัมพันธ์ครั้งแรกของศาสดามูฮัมมัดแห่งศาสนาอิสลามกับชาวอียิปต์เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 628 ในระหว่างการยาตรา (siryah, อาหรับ: سِرْيَة) ของ สัยด อิบนุ ฮาริษะฮฺ (Zayd ibn Harithah, อาหรับ: زَيْد ٱبْن حَارِثَة) ในการยุทธในดินแดนฮัสมา (Hisma, อาหรับ: صحراء حِسْمَى) เขามอบหมาย ฮาติบ อิบนุ อบู บัลตะอะฮฺ อัล-ลุคอมี (Hatib ibn Abi Balta'ah al-Lakhmi, อาหรับ: حاطب بن أبي بلتعة اللخمي) ให้เป็นตัวแทนผู้นำสาส์นส่งถึงผู้ปกครองอียิปต์ในอะเล็กซานเดรีย Muqawqis (อาหรับ: المقوقس, คอปติก: ⲭⲁⲩⲕⲓⲁⲛⲟⲥ, ⲕⲁⲩⲭⲓⲟⲥ)[16][17][18] ในสาส์นของมูฮัมมัดกล่าวว่า: "ข้าพเจ้าขอเชิญท่านให้ยอมรับอิสลาม อัลลอฮฺผู้ทรงประเสริฐยิ่งจะให้รางวัลท่านเป็นสองเท่า แต่ถ้าท่านปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้นท่านจะต้องแบกรับภาระการละเมิดของชาวอียิปต์" ในระหว่างการยาตราครั้งนี้ หนึ่งในผู้นำสาส์นของมูฮัมมัด ดิฮยะฮฺ อิบนุ เคาะลีฟะฮฺ อัล-กัลบี (Dihyah bin Khalifah al-Kalbi, อาหรับ: دِحْيَة ٱبْن خَلِيفَة ٱلْكَلْبِيّ) ถูกโจมตี ซึ่งดิฮยะฮฺ ได้เข้าหาตระกูลดูบาอิบ (Banu Dubayb) (ตระกูลในชนเผ่า เจดฮัมมัน (Banu Judham, อาหรับ: بنو جذام) ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวมุสลิม) เพื่อขอความช่วยเหลือ เมื่อข่าวมาถึงเมดินา ผู้นำของเผ่าเจดฮัมมัน ริฟาฮฺ อิบนุ สัยด (Rifa'ah ibn Zayd) ได้ร้องขอเผ่าของมูฮัมมัดให้ร่วมส่งคนไปช่วยเหลือซึ่งเผ่าได้ตอบรับ แม้จะไม่เห็นด้วยแต่มูฮัมมัดได้ส่ง สัยด อิบนุ ฮะริษะฮฺ พร้อมกับทหารเพื่อต่อสู้ 500 คนไปช่วยเหลือ กองทัพมุสลิมต่อสู้กับเผ่าเจดฮัมมัน สังหารพวกเขาหลายคน (ก่อให้เกิดความสูญเสียจำนวนมาก) รวมถึงหัวหน้าของพวกเขา อัลฮูนาอิด อิบนุ อาริด (Al-Hunayd ibn Arid) และลูกชาย, ยึดอูฐได้ 1,000 ตัว, ปศุสัตว์ 5,000 ตัว และจับผู้หญิงและเด็กชาย 100 คน หัวหน้าคนใหม่ของเผ่า เจดฮัมมัน ผู้ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามได้ขอร้องให้มูฮัมมัดปล่อยตัวเพื่อนชนเผ่าของเขา ซึ่งมูฮัมมัดก็ได้ปล่อยพวกเขาเหล่านั้น[19][20]
ภูมิอากาศ
ข้อมูลภูมิอากาศของอะเล็กซานเดรีย | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 33.3 (91.9) | 32.9 (91.2) | 40.0 (104) | 41.0 (105.8) | 45.0 (113) | 43.8 (110.8) | 43.0 (109.4) | 38.6 (101.5) | 41.4 (106.5) | 38.2 (100.8) | 35.7 (96.3) | 31.0 (87.8) | 45 (113) |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 18.4 (65.1) | 19.3 (66.7) | 20.9 (69.6) | 24.0 (75.2) | 26.5 (79.7) | 28.6 (83.5) | 29.7 (85.5) | 30.4 (86.7) | 29.6 (85.3) | 27.6 (81.7) | 24.1 (75.4) | 20.1 (68.2) | 24.9 (76.8) |
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) | 13.4 (56.1) | 13.9 (57) | 15.7 (60.3) | 18.5 (65.3) | 21.2 (70.2) | 24.3 (75.7) | 25.9 (78.6) | 26.3 (79.3) | 25.1 (77.2) | 22.0 (71.6) | 18.7 (65.7) | 14.9 (58.8) | 20.0 (68) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 9.1 (48.4) | 9.3 (48.7) | 10.8 (51.4) | 13.4 (56.1) | 16.6 (61.9) | 20.3 (68.5) | 22.8 (73) | 23.1 (73.6) | 21.3 (70.3) | 17.8 (64) | 14.3 (57.7) | 10.6 (51.1) | 15.8 (60.4) |
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 0.0 (32) | 0.0 (32) | 2.3 (36.1) | 3.6 (38.5) | 7.0 (44.6) | 11.6 (52.9) | 17.0 (62.6) | 17.7 (63.9) | 14 (57) | 10.7 (51.3) | 1.0 (33.8) | 1.2 (34.2) | 0 (32) |
ปริมาณฝน มม (นิ้ว) | 52.8 (2.079) | 29.2 (1.15) | 14.3 (0.563) | 3.6 (0.142) | 1.3 (0.051) | 0.0 (0) | 0.0 (0) | 0.1 (0.004) | 0.8 (0.031) | 9.4 (0.37) | 31.7 (1.248) | 52.7 (2.075) | 195.9 (7.713) |
ความชื้นร้อยละ | 69 | 67 | 67 | 65 | 66 | 68 | 71 | 71 | 67 | 68 | 68 | 68 | 67.92 |
วันที่มีฝนตกโดยเฉลี่ย (≥ 0.01 mm) | 11.0 | 8.9 | 6.0 | 1.9 | 1.0 | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.2 | 2.9 | 5.4 | 9.5 | 46.8 |
จำนวนชั่วโมงที่มีแดด | 192.2 | 217.5 | 248.0 | 273.0 | 316.2 | 354.0 | 362.7 | 344.1 | 297.0 | 282.1 | 225.0 | 195.3 | 3,307.1 |
แหล่งที่มา 1: | |||||||||||||
แหล่งที่มา 2: Voodoo Skies[24] และ Bing Weather[25] สำหรับสถิติอุณหภูมิ |
เมืองพี่น้อง
- อัลมาเตอ ประเทศคาซัคสถาน[ต้องการอ้างอิง]
- บัลติมอร์ สหรัฐ[26]
- บราติสลาวา ประเทศโครเอเชีย[27]
- กาตาเนีย ประเทศอิตาลี[28]
- คลีฟแลนด์ สหรัฐ[29]
- คอนสตันซา ประเทศโรมาเนีย[30]
- เดอร์บัน ประเทศแอฟริกาใต้[31]
- อินช็อน ประเทศเกาหลีใต้[32]
- คาซันลัก ประเทศบัลแกเรีย[33]
- ลีมาซอล ประเทศไซปรัส[34]
- ออแดซา ประเทศยูเครน[35]
- แพฟอส ประเทศไซปรัส[36]
- พอร์ตลูอิส ประเทศมอริเชียส[37]
- เซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ประเทศรัสเซีย[38]
- เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน[39]
- เทสซาโลนีกี ประเทศกรีซ[40]
อ้างอิง
บรรณานุกรม
- Haag, Michael (September 27, 2004). Alexandria: City of Memory. London and New Haven: Yale University Press. ISBN 978-0300191127.
A social, political and literary portrait of cosmopolitan Alexandria during the 19th and 20th centuries
- Von Hagen, Victor Wolfgang (1967). The Roads that led to Rome. Photographed by Adolfo Tomeucci. Cleveland and New York: The World Publishing. ASIN B005HZJQYY.
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ อะเล็กซานเดรีย
คู่มือการท่องเที่ยว Alexandria จากวิกิท่องเที่ยว (ในภาษาอังกฤษ)
- Alexandria Portal – Ministry of State For Administrative Development
- Expatriates in Alexandria เก็บถาวร 2008-11-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Comparison between Ancient Alexandria and Rome
- British Council's Lawrence Durrell Celebration in Alexandria
- Richard Stillwell, ed. Princeton Encyclopedia of Classical Sites, 1976: เก็บถาวร 2007-10-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน “Alexandria, Egypt”
- A superb image of ancient Alexandria from Braun and Hogenberg's Civitates Orbis Terrarum เก็บถาวร 2010-05-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน