พระเจ้าเลออปอลที่ 3 แห่งเบลเยียม

พระเจ้าเลออปอลที่ 3 แห่งเบลเยียม (3 พฤศจิกายน 1901 – 25 กันยายน 1983) เป็นพระมหากษัตริย์แห่งชาวเบลเยียม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1934 จนกระทั่งสละราชสมบัติในปี ค.ศ. 1951 โดยครองราชสมบัติต่อของสมเด็จพระราชาธิบดีโบดวงผู้เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่

พระเจ้าเลออปอลที่ 3
พระบรมฉายาลักษณ์ในปี 1934
พระมหากษัตริย์แห่งชาวเบลเยียม
ครองราชย์23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1934 – 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1951
(17 ปี 143 วัน)
ก่อนหน้าอัลแบร์ที่ 1
ถัดไปโบดวง
ผู้สำเร็จราชการ
นายกรัฐมนตรี
ดูรายชื่อ
  • ชาร์ล เดอ บร็อกวีล
    ฌอร์ฌ เดอนิส
    เปาล์ ฟัน เซลันด์
    ปอล-เอมีล ฌ็องซง
    ปอล-อ็องรี สปัก
    อูว์แบร์ ปีแยร์โล
    อาชีล ฟัน อักเกอร์
    กามีย์ เฮยส์ มันส์
    กัสตง ไอร์เกินส์
    ฌ็อง ดูว์วี เยอซาร์
    โฌแซ็ฟ ฟอเลียง
พระราชสมภพ3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1901(1901-11-03)
บรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
สวรรคต25 กันยายน ค.ศ. 1983(1983-09-25) (81 ปี)
บรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
ฝังพระศพโบสถ์แม่พระแห่งลาเกิน
คู่อภิเษก
พระราชบุตร
พระนามเต็ม
เลออปอล ฟิลิป ชาร์ลส์ อัลแบร์ ฮับเบิร์ต มาเรีย มิเชล
ราชวงศ์
พระราชบิดาสมเด็จพระเจ้าอัลแบร์ที่ 1 แห่งเบลเยียม
พระราชมารดาเอลิซาเบธแห่งบาวาเรีย สมเด็จพระราชินีแห่งเบลเยียม
ศาสนาโรมันคาทอลิก

พระราชประวัติ

พระเจ้าเลออปอลที่ 3 พระราชสมภพเมื่อ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1901 ที่กรุงบรัสเซลส์ โดยทรงมีพระอิสริยยศคือ เจ้าชายเลออปอลแห่งเบลเยียม เจ้าชายแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา พระองค์ได้สืบราชบัลลังก์เบลเยียมภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอัลแบร์ที่ 1 พระราชบิดาของพระองค์

สงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อุบัติขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 รัฐบาลฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรได้พยายามโน้มน้าวเบลเยียมให้ร่วมเป็นพันธมิตร แต่พระองค์รวมทั้งรัฐบาลยังคงปฏิเสธ และยังคงยืนกรานที่จะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยพิจารณาจากการเตรียมการไว้อย่างดีและระมัดระวังต่อการรุกรานที่อาจจะเกิดขึ้นจากกองกำลังฝ่ายอักษะ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนในปี ค.ศ. 1914 จากการรุกรานโดยกองทัพเยอรมัน

ในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 กองทัพเยอรมันได้บุกเข้าประเทศเบลเยียม เพียงหนึ่งวันของการเข้าโจมตีแนวตั้งรับของกองทัพเบลเยียมประจำป้อมเอเบิน-เอมาเอล ได้พ่ายแพ้จากปฏิบัติการโดยกองกำลังทหารร่ม และผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดายก่อนที่กองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษจะเดินมาถึง และในที่สุดก็พ่ายแพ้ให้กับการเตรียมการมาอย่างดีของกองทัพเยอรมันที่มีความชำนาญในการรบมากกว่า

การรักษาพรมแดนเบลเยียมนั้นถือเป็นการป้องกันมิให้กองทัพอังกฤษถูกตีขนาบและตัดออกจากชายฝั่ง โดยสามารถที่จะทำการอพยพผ่านปฏิบัติการที่ดังเคิร์กได้ และหลังจากการพ่ายแพ้ของกองทัพเบลเยียมแล้ว พระเจ้าเลออปอลที่ 3 ยังคงประทับอยู่ในกรุงบรัสเซลส์เพื่อจะเผชิญหน้ากับกองทัพผู้รุกราน (ต่างจากสมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมินาแห่งเนเธอร์แลนด์ ที่เผชิญวิกฤติการณ์เดียวกัน) ในขณะที่รัฐบาลนั้นอพยพไปยังปารีส และต่อมายังกรุงลอนดอน

ยอมจำนนต่อสงคราม และวิกฤติการณ์รัฐธรรมนูญ

ในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 พระองค์ยังคงเป็นผู้บัญชาการของกองทัพเบลเยียม และได้ทรงพบปะคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งคณะรัฐมนตรีนั้นพยายามโน้มน้าวให้พระองค์เสด็จลี้ภัยพร้อมกับรัฐบาล อูแบร์ ปิแยร์โล นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้กล่าวเตือนพระองค์ว่าการยอมจำนนต่อสงครามนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล มิใช่ของกษัตริย์ ซึ่งพระองค์ก็ยังคงปฏิเสธที่จะลี้ภัย และยังคงอยู่ในประเทศกับกองทัพของพระองค์ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ตีความว่าพระองค์จะก่อตั้งรัฐบาลปกครองประเทศใหม่ภายใต้การควบคุมของฮิตเลอร์ ซึ่งจะถือว่าพระองค์เป็นกบฏต่อแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ทรงคิดว่าหากทรงเสด็จลี้ภัยต่างประเทศแล้วจะกลายเป็นทหารหนีทัพ พระองค์เคยมีพระราชดำรัสไว้ว่า "ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าพเจ้าก็จะยอมร่วมชะตาเดียวกันกับกองทัพของข้าพเจ้า"[1] ซึ่งที่ผ่านมาพระองค์มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยลงรอยกันกับคณะรัฐมนตรีของพระองค์ ซึ่งมักจะเห็นได้ว่าพระองค์มักจะประพฤติตรงกันข้ามกับรัฐบาลอยู่เสมอ และทรงมักจะหาอุบายเพื่อกำจัดหรือลดอำนาจของรัฐมนตรีลง และเพิ่มอำนาจให้กับพระองค์เอง[1]

ในขณะที่กองทัพฝรั่งเศส อังกฤษ และเบลเยียมถูกล้อมโดยกองทัพเยอรมันที่ยุทธการแห่งดังเกิร์ก พระองค์ทรงพระราชหัตเลขาถึงสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร โดยโทรเลขเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 ว่ากองทัพเบลเยียมกำลังถูกบดขยี้ "ความช่วยเหลือที่เราพึงให้แก่พันธมิตรของเราจะต้องจบสิ้นลงหากกองทัพของเราถูกล้อมไว้สิ้น"[2] และสองวันต่อมา (27 พฤษภาคม ค.ศ. 1940) พระองค์ได้ยอมจำนนต่อกองทัพเยอรมัน

อูแบร์ ปิแยร์โล นายกรัฐมนตรีเบลเยียมได้กล่าวออกอากาศทางสถานีวิทยุฝรั่งเศสว่าการตัดสินใจของพระองค์ในการยอมแพ้นั้นมิใช่พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญของพระองค์ ว่าการตัดสินพระทัยในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแต่เป็นการตัดสินทางการทหารเท่านั้น แต่ยังเป็นทางการเมืองด้วย และการที่ทรงประพฤติเช่นนั้นโดยปราศจากการปรึกษากับคณะรัฐมนตรีนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งในครั้งนี้ปิแยร์โลและรัฐบาลเชื่อว่าพระองค์ "ไม่สามารถปกครองได้อีกต่อไป":

สถานการณ์ในขณะนั้นดูจะเป็นไปได้ยากที่จะเรียกประชุมรัฐสภา และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ และภายหลังจากการปลดปล่อยเบลเยียมในเดือนกันยายน ค.ศ. 1944 รัฐบาลได้กราบบังคมทูลเชิญพระราชอนุชา เจ้าชายชาลส์ เคานท์แห่งฟลานเดอร์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

การยอมจำนนของพระองค์ยังเป็นการจุดชนวนการกล่าวหาว่าเป็นกบฏจากนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส โปล เรโน ซึ่งวาเลอร์ และวาน โกเธิม นักประวัติศาสตร์ชาวเฟลมิชได้เขียนว่าพระองค์ได้กลายเป็น "แพะรับบาปแทนเรโน"[4] เนื่องจากเรโนนั้นค่อนข้างมั่นใจว่าสมรภูมิในฝรั่งเศสนั้นจะต้องพบกับความพ่ายแพ้เป็นแน่

นอกจากนี้ ยังมีการประณามพระองค์โดยวินสตัน เชอร์ชิล ในสภาสามัญชน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1940 ความว่า:

ในปี ค.ศ. 1949 การกล่าวของวินสตัน เชอร์ชิลเกี่ยวกับสถานการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940 ซึ่งตีพิมพ์ใน "เลอ​ ซัวร์" (12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1949) อดีตเลขานุการของพระองค์ได้ส่งจดหมายถึงเชอร์ชิลว่าสิ่งที่เขากล่าวนั้นผิดอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเชอร์ชิลได้ส่งสำเนาจดหมายฉบับนี้ไปยังเจ้าชายชาลส์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ผ่านทางอ็องเดร เดอ สแตร์ก เลขานุการของพระองค์ ซึ่งมีใจความในจดหมายเขียนโดยเชอร์ชิลว่า

เดอ สแตร์ก ได้ตอบกลับจดหมายของเชอร์ชิล ว่าเขามีเหตุผลถูกต้องแล้ว: "เจ้าชายผู้สำเร็จราชการฯ คุณสปาก และข้าพเจ้าได้อ่านจดหมายของท่าน ซึ่งได้กล่าวถึงเรื่องจริงและดูเหมือนจะเป็นเรื่องยินดียิ่งแก่พวกเรา"[7]

อ็องเดร เดอ สแตร์ก เป็นหนึ่งในประจักษ์พยานสำคัญของวิกฤตการณ์ของรัฐบาลเบลเยียมในปี ค.ศ. 1940 ซึ่งเป็นไปตามคำร้องของเขา ว่าบันทึกประจำวันที่เขาเขียนขึ้นเกี่ยวกับเจ้าชายชาลส์ (ซึ่งได้เขียนจากการแนะนำของเชอร์ชิล) ให้ตีพิมพ์หลังจากที่เขาถึงแก่กรรมแล้วในปี ค.ศ. 2003 ด้วยความช่วยเหลือ และบทนำโดยนักประวัติศาสตร์เบลเยียม ฌ็อง สเต็นเกอร์ บันทึกเล่มนี้ยังกล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าโบดวง มักจะไม่ทรงโปรดผู้คนที่อยู่ตรงข้ามกับพระราชบิดาในคราที่จะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งเดอ สแตร์กก็ได้กลายมาเป็นพระสหายคนสำคัญของพระองค์ ในงานพระราชทานเลี้ยงหลังจากงานพระศพของเจ้าชายชาลส์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1983 พระองค์ประทับอยู่เบื้องซ้ายของเดอ สแตร์ก[8]

ฟรานซิส บาลาส นักประวัติศาสตร์ชาวเบลเยียมได้กล่าวว่าการยอมจำนนในครั้งนั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากกองทัพเบลเยียมนั้นไม่อยู่ในสภาพที่จะรบกับกองทัพเยอรมันได้อีกต่อไป[9] แม้ว่าเชอร์ชิลยังยอมรับว่าสถานการณ์ในขณะนั้นวิกฤตยิ่ง ดังปรากฏในโทรเลขถึงจอมพลลอร์ดกอร์ต เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม เพียงหนึ่งวันหลังจากการยอมจำนนของเบลเยียม ความว่า "เรากำลังขอให้พวกเขาเสียสละชีวิตพวกเขาให้แก่เรา"[10]

หลังจากการพ่ายแพ้ของฝรั่งเศส

ภายหลังจากการจำนนของพระองค์ รัฐบาลพลัดถิ่นของเบลเยียมนั้นยังลี้ภัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส และเมื่อฝรั่งเศสได้พ่ายแพ้แก่สงครามเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 รัฐมนตรีหลายคนพยายามที่จะกลับไปยังเบลเยียม โดยพยายามร้องขอพระบรมราชนุญาติ แต่ถูกพระองค์ทรงมีพระราชปฏิสัณฐานกลับ:

เนื่องจากความนิยมกษัตริย์ในสมัยนั้นสูงมาก และการลดความนิยมของรัฐบาลในช่วงยุค 1940[11] จึงทำให้เกิดวิกฤตการณ์ฝั่งรัฐบาลขึ้น จากหลักฐานจากสำนักพิมพ์ราชสำนัก ความว่า:

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1940 รัฐมนตรีหลายคนพบปะกันที่เลอ แปร์ตุส ใกล้กับชายแดนสเปน นายกรัฐมนตรีปิแอร์โล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โปล-อ็องรี สปาก นั้นถูกชักชวนให้ลี้ภัยยังกรุงลอนดอน แต่ก็สามารถเริ่มเดินทางได้เพียงปลายเดือนสิงหาคม และจะต้องผ่านทางสเปนและโปรตุเกสเท่านั้น และเมื่อพวกเขาไปถึงยังสเปน ก็ได้ถูกจับกุมและกักขังโดยการปกครองภายใต้ผู้นำฟรันซิสโก ฟรังโก และต่อมาถูกปล่อยตัวและเดินทางถึงลอนดอนเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ปีเดียวกันนั้น

ทรงพบปะกับฮิตเลอร์

พระองค์ทรงไม่ยอมร่วมมือใด ๆ กับนาซี และไม่ยอมปกครองเบลเยียมเป็นหุ่นเชิดตามที่เยอรมันบังคับ จึงทำให้เยอรมันต้องใช้วิธีการตั้งรัฐบาลทหารขึ้น พระองค์ยังพยายามที่จะใช้สิทธิในฐานะของพระมหากษัตริย์และประมุขของรัฐบาลถึงแม้ว่าในความจริงแล้วทรงเป็นเพียงเชลยศึกของเยอรมันเท่านั้น ถึงแม้จะมีท่าทีอันแข็งกร้าวต่อฝ่ายเยอรมัน รัฐบาลพลัดถิ่นของเบลเยียมในกรุงลอนดอนได้กล่าวย้ำว่าพระองค์มิได้เป็นตัวแทนของรัฐบาลเบลเยียม และไม่อยู่ในฐานะที่จะปกครองในฐานะพระเจ้าแผ่นดิน กองทัพเยอรมันจึงจับกุมพระองค์ไว้ในพระราชวังที่ลาเกิน ในกรุงบรัสเซลส์ และด้วยความต้องการที่จะพบหน้ากับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 ในที่สุดพระองค์ก็ได้พบเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ในปีเดียวกัน ซึ่งพระองค์ต้องการให้ฮิตเลอร์ออกแถลงการณ์ถึงอิสรภาพของเบลเยียมในอนาคต ซึ่งฮิตเลอร์ก็ปฏิเสธที่จะกล่าวถึงอิสรภาพของเบลเยียม หรือแม้กระทั่งออกแถลงการณ์ใด ๆ ที่เกี่ยวกัน ซึ่งจากการปฏิเสธของฮิตเลอร์นั้นได้กลายเป็นคุณต่อพระองค์ในภายภาคหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ จากการถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับเยอรมนี อันจะเป็นผลให้พระองค์กลายเป็นกบฏต่อแผ่นดินโดยปริยาย ซึ่งจะเป็นเหตุที่ทำให้พระองค์จะถูกบีบให้สละราชสมบัติภายหลังสงคราม "ฮิตเลอร์ได้ช่วยพระองค์ไว้ถึงสองครั้งด้วยกัน"[12]

เสด็จลี้ภัยและสละราชสมบัติ

ทรงถูกเนรเทศและลี้ภัย

ในปี ค.ศ. 1944 ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ ผู้บัญชาการหน่วยเอสเอส ได้สั่งการให้เนรเทศพระองค์ไปยังเยอรมนี โดยเจ้าหญิงลิเลียนตามเสด็จพร้อมครอบครัวบนรถพระที่นั่งอีกคันหนึ่งภายใต้การรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดของหน่วยรักษาความปลอดภัยชุทซ์ชทัฟเฟิล นาซีได้คุมขังพระองค์ไว้ในป้อมปราการแห่งหนึ่งในเมืองฮีรชไตน์ในรัฐซัคเซินเป็นเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944 จนถึงมีนาคม ค.ศ. 1945 และต่อมาได้ย้ายไปที่ชโตรเบิล ประเทศออสเตรีย

รัฐบาลอังกฤษ และอเมริกันได้แสดงความเป็นห่วงถึงการกลับมาของพระองค์ ชาลส์ ซอว์เยอร์ เอกอัครราชทูตอเมริกันประจำประเทศเบลเยียม ได้เตือนรัฐบาลอเมริกันว่าภายหลังจากการกลับมาของพระองค์จะ "สร้างความยุ่งยากมากขึ้น" "ท่ามกลางความแตกต่างภายในพระราชวงศ์ และสถานการณ์นี้เป็นเสมือนระเบิดเวลาสำหรับเบลเยียม และอาจจะยุโรปด้วย"[13] "กระทรวงการต่างประเทศกลัวว่าการเพิ่มจำนวนของผู้ใช้ภาษาฝรั่งเศสในเขตวัลลูนนั้นจะเรียกร้องอิสรภาพและปกครองตนเอง หรือไม่ก็รวมดินแดนกับฝรั่งเศส ซึ่ง ฯพณฯ วีแนนท์ เอกอัครราชทูตประจำสำนักเซนต์เจมส์ ได้รายงานมาทางกระทรวงถึงความกังวลที่เกี่ยวเนื่องมาจากการโฆษณาชวนเชื่อกระแสคลั่งชาติในเขตวัลลูน"[14] และ "เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ณ กรุงบรัสเซลส์... ยังเชื่อได้ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปล่อยกระแสโฆษณาชวนเชื่อนี้"[15]

พระเจ้าเลออปอลถูกปลดปล่อยจากที่คุมขังโดยกองพันทหารม้าที่ 106 ของสหรัฐอเมริกา ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1945 เนื่องจากข้อกังขาของสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำในระหว่างสงคราม พระองค์และพระราชินี รวมถึงพระราชโอรสและธิดานั้นไม่สามารถนิวัติกลับเบลเยียมได้ และใช้เวลาลี้ภัยนานถึงหกปีในเมืองเพรญี-ช็องเบซี ใกล้กับกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งพระราชกรณียกิจสำคัญในฐานะของประมุข ได้ถูกผ่านให้กับพระราชอนุชาของพระองค์ เจ้าชายชาลส์แห่งเบลเยียม เคานท์แห่งฟลานเดอร์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามความเห็นชอบของรัฐสภาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1944

การต่อต้านการเสด็จนิวัติกลับพระนคร

แวน เดน ดันเจิน อธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยเปิดแห่งบรัสเซลส์ (Université Libre de Bruxelles) ได้เขียนบันทึกส่งถึงพระองค์เมื่อ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1945 มีใจความเกี่ยวกับความวุ่นวายในเขตวัลลูน "คำถามนั้นไม่ใช่ว่าข้อกล่าวหาต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะถูกต้องหรือไม่ (เกรงแต่ว่า...) ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะมิได้เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวของเบลเยียมอีกต่อไปเสียแล้ว"[16]

กีญง ประธานวุฒิสภาเบลเยียม ได้กราบทูลฯ ทราบว่ามีความเป็นไปได้ถึงความไม่สงบอย่างรุนแรง "หากมีเพียงสิบหรือยี่สิบคนที่ถูกฆ่าตายแล้ว สถานการณ์ความไม่สงบครั้งนี้จะกลายเป็นความตกต่ำสำหรับองค์พระมหากษัตริย์" [17]

ฟรานซ์ แวน คอเวลลาร์ท ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้แสดงความห่วงใยว่าจะเกิดการนัดหยุดงานทั่วไปในเขตวัลลูน และกบฏในลีแยฌ เขาได้เขียนว่า "ประเทศแห่งนี้ไม่สามารถที่จะจัดการกับปัญหาความสงบได้อย่างเรียบร้อยเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนกองกำลังตำรวจและการขาดแคลนอาวุธ"[18]

ในปี ค.ศ. 1946 คณะกรรมการตรวจสอบได้เห็นชอบให้พระองค์พ้นข้อกล่าวหากบฏต่อแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม คำถามเกี่ยวกับพระองค์ยังคงดำเนินต่อไป และจนกระทั่งปี ค.ศ. 1950 ได้มีการลงประชามติเกี่ยวกับอนาคตของพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ ซึ่งผลปรากฏว่า ร้อยละ 57 ของผู้มีสิทธิทั้งหมดเห็นชอบต่อการกลับมาของพระองค์ ซึ่งการแบ่งแยกระหว่างผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านพระองค์นั้นแบ่งตามเขตด้วย (ซึ่งฝ่ายสังคมนิยม และวัลลูนนั้นส่วนใหญ่ไม่เห็นชอบ- เพียงร้อยละ 42 ของชาววัลลูนที่เห็นชอบ) ในขณะที่ฝ่ายประชาธิปัตย์คริสเตียน และฟลานเดอร์นั้นเป็นฝ่ายสนับสนุนพระองค์ (ร้อยละ 70 เห็นชอบในฝั่งฟลานเดอร์)

การนัดหยุดงานครั้งใหญ่ปี ค.ศ. 1950

เมื่อคราวเสด็จนิวัติเบลเยียมในปี ค.ศ. 1950 พระองค์ทรงพบกับการนัดหยุดงานครั้งที่รุนแรงและสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์เบลเยียม ผู้ชุมนุมจำนวนสามคนได้ถูกสังหารเมื่อตำรวจปราบจลาจลได้ยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุม ทำให้ประเทศนั้นเปิดฉากเข้าสู่สงครามกลางเมือง ธงชาติเบลเยียมได้ถูกปลดลงแทนที่ด้วยธงของเขตวัลลูนในลีแยฌ และเมืองสำคัญต่าง ๆ ในฝั่งเขตวัลลูน[19] จึงทำให้พระองค์ต้องตัดสินพระทัยเพื่อรักษาความเป็นเอกภาพของอาณาจักร รวมทั้งรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงทรงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1950 เพื่อเปิดทางให้พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ เจ้าชายโบดวง ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ต่อไป ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1951 แต่ในความจริงแล้วรัฐบาลได้บังคับให้ทรงตัดสินพระทัยในวันนั้น ซึ่งในการ"เลื่อนการสละราชสมบัติ"ไปอีกปีหนึ่งนั้น[20] พระเจ้าเลออปอลทรงถูกบังคับโดยรัฐบาลเพื่อสละราชสมบัติให้กับพระราชโอรส[21]

พระอิสริยยศ

  • เจ้าชายเลออปอลแห่งเบลเยียม (ค.ศ. 1901 – ค.ศ. 1909)
  • เจ้าชายเลออปอล ดยุกแห่งบราบันต์ มกุฎราชกุมารแห่งเบลเยียม (ค.ศ. 1909 – ค.ศ. 1934)
  • พระเจ้าเลออปอลที่ 3 พระมหากษัตริย์แห่งชาวเบลเยียม (ค.ศ. 1934 – ค.ศ. 1951)
  • พระเจ้าเลออปอลที่ 3 พระบรมราชชนก (ภายหลังจากทรงสละราชสมบัติในปี ค.ศ. 1951 จนกระทั่งสวรรคต)

พระราชบุตร

ประสูติแต่ สมเด็จพระราชินีอัสตริด
พระนามประสูติสิ้นพระชนม์หมายเหตุ
เจ้าหญิงโฌเซฟีน-ชาร์ล็อต11 ตุลาคม ค.ศ. 192710 มกราคม ค.ศ. 2005 (77 พรรษา)เสกสมรสกับแกรนด์ดยุกฌ็องแห่งลักเซมเบิร์ก มีพระราชบุตร 5 พระองค์
สมเด็จพระราชาธิบดีโบดวง7 กันยายน ค.ศ. 193031 กรกฎาคม ค.ศ. 1993 (62 พรรษา)ราชาภิเษกสมรสกับฟาบิโอลา เด โมรา อี อารากอน ไม่มีพระราชบุตร
สมเด็จพระราชาธิบดีอัลแบร์ที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1934 (90 พรรษา)ราชาภิเษกสมรสกับเปาลา รุฟโฟ ดิ คาราเบลีย มีพระราชบุตร 3 พระองค์ (และมีพระราชธิดานอกสมรสอีก 1 พระองค์)
ประสูติแต่ ลิเลียน เจ้าหญิงแห่งเรตี
พระนามประสูติสิ้นพระชนม์หมายเหตุ
เจ้าชายอาแล็กซ็องดร์18 กรกฎาคม ค.ศ. 194229 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009 (67 ปี)เสกสมรสกับเลอา โวลมัน ไม่มีพระบุตร
เจ้าหญิงมารี-คริสติน6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1951 (73 ปี)เสกสมรสครั้งแรกกับพอล ดูเกอร์ ต่อมาทรงหย่าและเสกสมรสครั้งที่สองกับจีน พอล จอร์จเกอร์ ไม่มีพระบุตรทั้งสองครั้ง
เจ้าหญิงมารี-แอ็สเมราลดา30 กันยายน ค.ศ. 1956 (67 ปี)เสกสมรสกับ ซัลวาดอร์ มอนคาดา มีพระบุตร 2 คน

พงศาวลี


อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น


ก่อนหน้าพระเจ้าเลออปอลที่ 3 แห่งเบลเยียมถัดไป
สมเด็จพระเจ้าอัลแบร์ที่ 1
พระมหากษัตริย์เบลเยียม
(23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1934 – 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1951)

สมเด็จพระราชาธิบดีโบดวง


เจ้าชายเลออปอล
(สิ้นพระชนม์ก่อนรับราชสมบัติ)

ดยุกแห่งบราบันต์
(ค.ศ. 1909 – 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1934)
เจ้าชายโบดวง
(ภายหลังคือ สมเด็จพระราชาธิบดีโบดวง)


🔥 Top keywords: พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคลหน้าหลักพระสุนทรโวหาร (ภู่)องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยพิเศษ:ค้นหาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพรอสมทวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ลีก 2024สไปร์ท (แร็ปเปอร์)ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024พุ่มพวง ดวงจันทร์ดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)อีดิลอัฎฮาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียวราชวงศ์จักรีลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทยรายชื่อตัวละครในพระอภัยมณีหม่อมเจ้านวพรรษ์ ยุคลทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคลพระอภัยมณีหม่อมเจ้ามงคลเฉลิม ยุคลหม่อมเจ้าฑิฆัมพร ยุคลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรหลานม่าอริยสัจ 4ตารางธาตุนิราศภูเขาทองรายชื่อเครื่องดนตรีเฌอมาวีร์ สุวรรณภาณุโชคประเทศไทยอาณาจักรอยุธยาปิติ ภิรมย์ภักดีวอลเลย์บอลวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย