ราฮีม สเตอร์ลิง
ราฮีม ชาควิลล์ สเตอร์ลิง เอ็มบีอี (อังกฤษ: Raheem Shaquille Sterling; เกิด 8 ธันวาคม ค.ศ. 1994) เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งปีกให้แก่เชลซี และทีมชาติอังกฤษ
ข้อมูลส่วนตัว | ||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | ราฮีม ชาควิลล์ สเตอร์ลิง | |||||||||||||||||||||
วันเกิด | [1] | 8 ธันวาคม ค.ศ. 1994|||||||||||||||||||||
สถานที่เกิด | คิงส์ตัน จาเมกา | |||||||||||||||||||||
ส่วนสูง | 5 ft 8 in (1.72 m)[2] | |||||||||||||||||||||
ตำแหน่ง | ปีก[2] | |||||||||||||||||||||
ข้อมูลสโมสร | ||||||||||||||||||||||
สโมสรปัจจุบัน | เชลซี | |||||||||||||||||||||
หมายเลข | 7 | |||||||||||||||||||||
สโมสรเยาวชน | ||||||||||||||||||||||
1999–2003 | แอลฟาแอนด์โอเมกา | |||||||||||||||||||||
2003–2010 | ควีนส์พาร์กเรนเจอส์ | |||||||||||||||||||||
2010–2012 | ลิเวอร์พูล | |||||||||||||||||||||
สโมสรอาชีพ* | ||||||||||||||||||||||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) | |||||||||||||||||||
2012–2015 | ลิเวอร์พูล | 95 | (18) | |||||||||||||||||||
2015–2022 | แมนเชสเตอร์ซิตี | 225 | (91) | |||||||||||||||||||
2022– | เชลซี | 59 | (14) | |||||||||||||||||||
ทีมชาติ‡ | ||||||||||||||||||||||
2009–2010 | อังกฤษ อายุไม่เกิน 16 ปี | 7 | (1) | |||||||||||||||||||
2010–2011 | อังกฤษ อายุไม่เกิน 17 ปี | 13 | (3) | |||||||||||||||||||
2012 | อังกฤษ อายุไม่เกิน 19 ปี | 1 | (0) | |||||||||||||||||||
2012–2013 | อังกฤษ อายุไม่เกิน 21 ปี | 8 | (3) | |||||||||||||||||||
2012– | อังกฤษ | 82 | (20) | |||||||||||||||||||
เกียรติประวัติ
| ||||||||||||||||||||||
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 20:36, 19 พฤษภาคม 2024 (UTC) ‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด ณ วันที่ 21:44, 10 ธันวาคม 2022 (UTC) |
สเตอร์ลิงสร้างชื่อเสียงมากับลิเวอร์พูล ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงกับลิเวอร์พูล ในปี ค.ศ. 2012 นัดที่เจอกับ วีแกนแอธเลติก โดยเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย ด้วยอายุเพียงแค่ 17 ปี
ผลงานในระดับสโมสร
ควีนส์พาร์กเรนเจอร์
สเตอร์ลิงเป็นนักเตะเยาวชนของควีนส์พาร์กเรนเจอร์เป็นเวลาเจ็ดปีก่อนที่จะย้ายไปยังลิเวอร์พูล
ลิเวอร์พูล
ฤดูกาล 2011-12
วันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2012 สเตอร์ลิง ลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ทีมชุดใหญ่ครั้งแรก โดยถูกเปลี่ยนตัวลงสนาม ในนัดที่เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ วีแกนแอธเลติก ซึ่งลงสนามในวัย 17 ปี กับอีก 107 วัน ต่อมา สเตอร์ลิง ลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 2 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงสนาม ในนัดที่แพ้ให้กับ ฟูลัม 0-1[3] ต่อมา สเตอร์ลิง ลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 3 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงสนาม ในนัดที่ถล่ม เชลซี 4-1[4]
ฤดูกาล 2012-13
ในเดือนสิงหาคม 2012 สเตอร์ลิง ได้ลงสนามในเกมยุโรปเป็นนัดแรก โดยลงมาเป็นตัวสำรองแทน โจ โคล ในยูฟ่ายูโรปาลีก รอบคัดเลือก ในนัดที่เอาชนะ โกเมล 1-0 ต่อมา ในวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 2012 พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2012–13 สเตอร์ลิง ได้ลงสนามเป็นตัวจริงใน ศึกบิ๊กแมตช์ กับ แมนเชสเตอร์ซิตี โดย สเตอร์ลิง โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมและติดทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์[5] หลังจากนั้น สเตอร์ลิง ก็ได้ลงสนามเป็นตัวจริงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง สเตอร์ลิง ก็ทำประตูแรกให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เรดดิง 1-0[6] ต่อมา ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 สเตอร์ลิง ได้ตัดสินใจต่อสัญญากับ ลิเวอร์พูล ต่อมา ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ลิง ก็ทำประตูที่ 2 ให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 3-0[7] จบฤดูกาล สเตอร์ลิง ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 2 ประตูจาก 24 นัด
ฤดูกาล 2013-14
ในลีกคัพ รอบ 2 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูแรกให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นอตส์เคาน์ตี ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 4-2 ต่อมา ในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นอริชซิตี 5-1 ต่อมา ในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ไวต์ฮาร์ตเลน 5-0[8] [9] ต่อมา ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี 3-1[10] [11]
ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ทำ 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ อาร์เซนอล 5-1[12] [13] ต่อมา ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ลงมาเป็นตัวสำรองและได้ทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 3-0[14] [15] ต่อมา ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ แมนเชสเตอร์ซิตี 1-0 ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะชนะไป 3-2 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำจ่าฝูงและลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกต่อไป[16] [17] ต่อมา ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ทำ 2 ประตู และจ่ายให้เพื่อนยิง 1 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นอริชซิตี ที่แคร์โรว์โรด 3-2 ต่อมา สเตอร์ลิง ได้ติด 1 ใน 6 เข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง คว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของแฟนๆ จากงานประกาศรางวัล Players’ Awards Dinner ปี 2014 โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่ ศูนย์ประชุม Liverpool ACC Conference Centre[18] จบฤดูกาล สเตอร์ลิง ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 9 ประตูจาก 33 นัด และยิงได้ทั้งหมด 10 ประตู จาก 38 นัด รวมทุกรายการ ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้กลับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นับตั้งแต่ในปี 2009
ฤดูกาล 2014-15
ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2014 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2014–15 ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ เซาแทมป์ตัน โดย สเตอร์ลิง ได้ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 1-0 ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะชนะไป 2-1[19] ต่อมา ในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ไวต์ฮาร์ตเลน 3-0[20] ต่อมา ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ลงเล่น ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดแรก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ลูโดโกเร็ตส์ ราซกราด จาก บัลแกเรีย 2-1[21] ต่อมา ในวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ เวสต์แฮมยูไนเต็ด ที่บุลินกราวนด์ 1-3[22] ต่อมา ในวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ลงสนามนัดที่ 100 ในนัดที่พ่ายแพ้ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด 0-3 ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2014 แคปปิตอล วัน คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ สเตอร์ลิง ได้ทำ 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ บอร์นมัธ 3-1[23] ต่อมา ในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง คว้ารางวัลโกลเด้น บอย (นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี) ของ Tuttosport หนังสือพิมพ์สัญชาติอิตาลี[24] ต่อมา ในวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เบิร์นลีย์ ที่เทิร์ฟมัวร์ 1-0[25]
ในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2015 แคปปิตอล วัน คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก สเตอร์ลิง ได้ทำประตูตีเสมอ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เชลซี 1-1[26] ต่อมา ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 5 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0[27] ต่อมา ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 เอฟเอคัพ รอบสี่ นัดรีเพลย์ สเตอร์ลิง ได้ทำประตูตีเสมอ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ โบลตันวอนเดอเรอส์ ที่มาครอน สเตเดียม 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 5 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ[28] ต่อมา ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 2-0[29]
ในเดือนเมษายน 2015 สเตอร์ลิง ไม่ยอมต่อสัญญาใหม่กับสโมสร พร้อมปฏิเสธค่าเหนื่อยจำนวนกว่า 180,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 6,300,000 บาท) ซึ่งจะทำให้ดาวรุ่งรายนี้ มีรายได้เป็นสถิติสโมสร และยังแซงหน้าค่าเหนื่อยที่ สตีเวน เจอร์ราร์ด กัปตันทีมคนปัจจุบันที่ได้จากสโมสร อย่างไรก็ตาม สเตอร์ลิง ได้ออกมากล่าวหลังจบเกมทีมชาติกับลิทัวเนียว่า ยังไม่ต้องการคุยเรื่องสัญญาฉบับใหม่ในตอนนี้ เนื่องจากต้องการมุ่งสมาธิไปที่การเล่นให้กับสโมสร และจะมีการเจรจากันอีกครั้งหลังสิ้นสุดฤดูกาลนี้เท่านั้น
ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2015 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-0[30] [31] ต่อมา สเตอร์ลิง ได้ติด 1 ใน 6 เข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ต่อมา ในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ลิง คว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของแฟนๆ ในงานประกาศรางวัล Players' Awards 2015 ก่อนจะได้รับรางวัลพร้อมกับท่ามกลางเสียงโห่ของแฟนบอลบางส่วน โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่ เอ็คโค่ อารีน่า[32] จบฤดูกาล สเตอร์ลิง ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 7 ประตูจาก 35 นัด
ในเดือนกรกฎาคม 2015 สเตอร์ลิง เข้าแจ้งขอย้ายทีมกับ เบรนดัน ร็อดเจอส์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล รวมถึงเจ้าตัวไม่โผล่ไปที่สนามซ้อม โดยอ้างว่าป่วย ซึ่งทำให้สถานการณ์ระหว่างปีกวัย 20 ปี กับสโมสรกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง[33] นอกจากนี้ สเตอร์ลิง แจ้งกับต้นสังกัดว่าตัวเขาจะไม่เข้าร่วมทัวร์ปรีซีซันกับลิเวอร์พูล และหวังว่าการเจรจาย้ายทีมไป แมนเชสเตอร์ซิตี จะจบสิ้นลงก่อนเริ่มโปรแกรมทัวร์ที่ประเทศไทย[34] ต่อมา ในวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 สโมสรลิเวอร์พูล เดินทางมาปรีซีซันที่ประเทศไทย โดย สเตอร์ลิง ไม่ได้เดินทางมาด้วย
และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน สเตอร์ลิงก็ได้ย้ายเข้าไปสังกัดแมนเชสเตอร์ซิตี เป็นที่เรียบร้อยด้วยค่าตัวสูงถึง 49 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2.45 พันล้านบาท) ด้วยระยะเวลาสัญญานาน 5 ปี[35]
แมนเชสเตอร์ซิตี
ฤดูกาล 2015-16
ก่อนเริ่มฤดูกาล 2015–16 สเตอร์ลิงได้ย้ายเข้าสังกัดแมนเชสเตอร์ซิตี ด้วยค่าตัวสูงถึง 49 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2.45 พันล้านบาท) ด้วยระยะเวลาสัญญานาน 5 ปี ซึ่งมูลค่าที่สูงถึงขนาดนี้ บรรดาผู้สนับสนุนลิเวอร์พูลต่างมองว่าเป็นการขายที่สโมสรคุ้มค่ามากที่สุด โดยสเตอร์ลิงยังได้ทำสถิติเป็นผู้เล่นอายุไม่เกิน 21 ปีที่แพงที่สุด และเป็นผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ซิตีที่มีค่าตัวแพงที่สุดของสโมสร และเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดเป็นอันดับที่ 13 ของโลก และเป็นสถิติอันดับ 3 ของพรีเมียร์ลีก[36]
สเตอร์ลิงยิงให้กับแมนเชสเตอร์ซิตีลูกแรกได้ทันทีที่ลงเล่นนัดแรก ในรายการอินเตอร์เนชันแนลแชมเปียนส์คัพ 2015 ในนาทีที่ 3 ที่พบกับ โรมา ในการแข่งขันที่ออสเตรเลีย[37]
ทีมชาติอังกฤษ
ราฮีม สเตอร์ลิง ติดทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่ นัดแรก ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ในนัดที่อุ่นเครื่องกระชับมิตร กับ สวีเดน ในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ลงเล่นนัดที่สองให้กับทีมชาติและโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ในนัดที่ อังกฤษ เอาชนะ เดนมาร์ก 1-0 ในเกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร ที่สนามกีฬาเวมบลีย์
ฟุตบอลโลก 2014
ในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ทีมชาติอังกฤษได้เรียกตัว ราฮีม สเตอร์ลิง ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึก ฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล โดย อังกฤษ ได้อยู่กลุ่ม D ร่วมกับ อุรุกวัย, คอสตาริกา และ อิตาลี ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ลงสนามเป็นตัวจริงในฟุตบอลโลก กลุ่ม D นัดแรก ในนัดที่แพ้ให้กับ อิตาลี 1-2 สุดท้าย อังกฤษ ก็ต้องตกรอบแรก ได้อันดับสุดท้ายของกลุ่ม D เสมอ 1 แพ้ 2 (แพ้ อิตาลี 1-2, แพ้ อุรุกวัย 1-2 และ เสมอ คอสตาริกา 0-0) ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่บราซิลเพียงรอบแรกเท่านั้น และเป็นครั้งแรกในรอบ 56 ปีที่อังกฤษตกรอบแรกฟุตบอลโลก
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 รอบคัดเลือก
ในวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูแรกในนามทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ ในนัดที่ อังกฤษ เปิดสนามกีฬาเวมบลีย์เอาชนะ ลิทัวเนีย 4-0[38]
สถิติ
สโมสร
- ณ วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2024
สโมสร | ฤดูกาล | ลีก | เอฟเอคัพ | ลีกคัพ | ยุโรป | อื่น ๆ | รวม | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ดิวิชัน | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ||
ลิเวอร์พูล | 2011–12[39] | พรีเมียร์ลีก | 3 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | — | — | 3 | 0 | ||
2012–13[40] | พรีเมียร์ลีก | 24 | 2 | 1 | 0 | 1 | 0 | 10[a] | 0 | — | 36 | 2 | ||
2013–14[41] | พรีเมียร์ลีก | 33 | 9 | 3 | 0 | 2 | 1 | — | — | 38 | 10 | |||
2014–15[42] | พรีเมียร์ลีก | 35 | 7 | 5 | 1 | 4 | 3 | 8[b] | 0 | — | 52 | 11 | ||
รวม | 95 | 18 | 9 | 1 | 7 | 4 | 18 | 0 | — | 129 | 23 | |||
แมนเชสเตอร์ซิตี | 2015–16[43] | พรีเมียร์ลีก | 31 | 6 | 2 | 1 | 4 | 1 | 10[c] | 3 | — | 47 | 11 | |
2016–17[44] | พรีเมียร์ลีก | 33 | 7 | 5 | 1 | 1 | 0 | 8[c] | 2 | — | 47 | 10 | ||
2017–18[45] | พรีเมียร์ลีก | 33 | 18 | 2 | 1 | 3 | 0 | 8[c] | 4 | — | 46 | 23 | ||
2018–19[46] | พรีเมียร์ลีก | 34 | 17 | 4 | 3 | 3 | 0 | 10[c] | 5 | 0 | 0 | 51 | 25 | |
2019–20[47] | พรีเมียร์ลีก | 33 | 20 | 4 | 1 | 5 | 3 | 9[c] | 6 | 1[d] | 1 | 52 | 31 | |
2020–21[48] | พรีเมียร์ลีก | 31 | 10 | 3 | 1 | 4 | 2 | 11[c] | 1 | — | 49 | 14 | ||
2021–22[49] | พรีเมียร์ลีก | 30 | 13 | 3 | 1 | 2 | 0 | 12[c] | 3 | 0 | 0 | 47 | 17 | |
รวม | 225 | 91 | 23 | 9 | 22 | 6 | 68 | 24 | 1 | 1 | 339 | 131 | ||
เชลซี | 2022–23[50] | พรีเมียร์ลีก | 28 | 6 | 0 | 0 | 1 | 0 | 9[c] | 3 | — | 38 | 9 | |
2023–24[51] | พรีเมียร์ลีก | 31 | 8 | 6 | 1 | 6 | 1 | — | — | 43 | 10 | |||
รวม | 59 | 14 | 6 | 1 | 7 | 1 | 9 | 3 | — | 81 | 19 | |||
รวมอาชีพ | 379 | 123 | 38 | 11 | 36 | 11 | 94 | 27 | 1 | 1 | 549 | 173 |
นานาชาติ
- ณ วันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2022[52]
ทีมชาติ | ปี | ลงเล่น | ประตู |
---|---|---|---|
อังกฤษ | 2012 | 1 | 0 |
2014 | 12 | 0 | |
2015 | 7 | 2 | |
2016 | 9 | 0 | |
2017 | 6 | 0 | |
2018 | 12 | 2 | |
2019 | 9 | 8 | |
2020 | 2 | 1 | |
2021 | 14 | 5 | |
2022 | 10 | 2 | |
รวม | 82 | 20 |
- ณ วันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2022[52]
ลำดับ | วันที่ | สนาม | Cap | คู่แข่ง | ประตู | ผล | การแข่งขัน | อ้างอิง |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | 27 มีนาคม ค.ศ. 2015 | สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ | 14 | ลิทัวเนีย | 3–0 | 4–0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 รอบคัดเลือก | [53] |
2 | 9 ตุลาคม ค.ศ. 2015 | สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ | 18 | เอสโตเนีย | 2–0 | 2–0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 รอบคัดเลือก | [54] |
3 | 15 ตุลาคม ค.ศ. 2018 | สนามกีฬาเบนิโต บิยามาริน เซบิยา ประเทศสเปน | 46 | สเปน | 1–0 | 3–2 | ยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 ลีก เอ | [55] |
4 | 3–0 | |||||||
5 | 22 มีนาคม ค.ศ. 2019 | สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ | 48 | เช็กเกีย | 1–0 | 5–0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก | [56] |
6 | 3–0 | |||||||
7 | 4–0 | |||||||
8 | 25 มีนาคม ค.ศ. 2019 | สนามกีฬานครพอดกอรีตซา พอดกอรีตซา ประเทศมอนเตเนโกร | 49 | มอนเตเนโกร | 5–1 | 5–1 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก | [57] |
9 | 7 กันยายน ค.ศ. 2019 | สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ | 52 | บัลแกเรีย | 3–0 | 4–0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก | [58] |
10 | 10 กันยายน ค.ศ. 2019 | เซนต์แมรีส์สเตเดียม เซาแทมป์ตัน ประเทศอังกฤษ | 53 | คอซอวอ | 1–1 | 5–3 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก | [59] |
11 | 14 ตุลาคม ค.ศ. 2019 | สนามกีฬาแห่งชาติวาซิล เลฟสกี โซเฟีย ประเทศบัลแกเรีย | 55 | บัลแกเรีย | 4–0 | 6–0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก | [60] |
12 | 5–0 | |||||||
13 | 5 กันยายน ค.ศ. 2020 | Laugardalsvöllur เรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์ | 57 | ไอซ์แลนด์ | 1–0 | 1–0 | ยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2020–21 ลีก เอ | [61] |
14 | 25 มีนาคม ค.ศ. 2021 | สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ | 59 | ซานมารีโน | 3–0 | 5–0 | ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก | [62] |
15 | 13 มิถุนายน ค.ศ. 2021 | สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ | 62 | โครเอเชีย | 1–0 | 1–0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 | [63] |
16 | 22 มิถุนายน ค.ศ. 2021 | สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ | 64 | เช็กเกีย | 1–0 | 1–0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 | [64] |
17 | 29 มิถุนายน ค.ศ. 2021 | สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ | 65 | เยอรมนี | 1–0 | 2–0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 | [65] |
18 | 2 กันยายน ค.ศ. 2021 | ปุชกาชออเรนอ บูดาเปสต์ ประเทศฮังการี | 69 | ฮังการี | 1–0 | 4–0 | ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก | [66] |
19 | 29 มีนาคม ค.ศ. 2022 | สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ | 74 | โกตดิวัวร์ | 2–0 | 3–0 | กระชับมิตร | [67] |
20 | 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 | สนามกีฬานานาชาติเคาะลีฟะฮ์ โดฮา ประเทศกาตาร์ | 80 | อิหร่าน | 3–0 | 6–2 | ฟุตบอลโลก 2022 | [68] |
เกียรติประวัติ
แมนเชสเตอร์ซิตี
- พรีเมียร์ลีก: 2017–18, 2018–19, 2020–21, 2021–22[69]
- เอฟเอคัพ: 2018–19[70]
- ฟุตบอลลีก/อีเอฟแอลคัพ: 2015–16,[71] 2018–19,[72] 2019–20,[73] 2020–21[74]
- เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์: 2019[75]
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รองชนะเลิศ: 2020–21[76]
อังกฤษ
- ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รองชนะเลิศ: 2020[77]
- ยูฟ่าเนชันส์ลีก อันดับที่ 3: 2018–19[78]
ส่วนตัว
- นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของลิเวอร์พูล: 2013–14,[79] 2014–15[80]
- โกลเดนบอย: 2014[81]
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก Team of the Group Stage: 2015–16[82]
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก Squad of the Season: 2018–19,[83] 2019–20[84]
- ผู้เล่นประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก: สิงหาคม ค.ศ. 2016, พฤศจิกายน ค.ศ. 2018, ธันวาคม ค.ศ. 2021[69]
- ทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ: 2018–19 Premier League[85]
- นักฟุตบอลดาวรุ่งแห่งปีของพีเอฟเอ: 2018–19[86]
- นักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอล: 2018–19[87]
- UEFA European Championship Team of the Tournament: 2020[88]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
- Profile ที่เว็บไซต์สโมสรฟุตบอลเชลซี
- Profile ที่เว็บไซต์สมาคมฟุตบอล
- ราฮีม สเตอร์ลิง – สถิติการลงแข่งจากสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) (อังกฤษ)
- ราฮีม สเตอร์ลิง – สถิติการลงแข่งจากสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (FIFA) (ในภาษาอังกฤษ)