ยาโกบึส แฮ็นรีกึส วันต์โฮฟฟ์
ยาโกบึส แฮ็นรีกึส วันต์โฮฟฟ์ (อังกฤษ: Jacobus Henricus "Henry" van 't Hoff, Jr., 30 สิงหาคม ค.ศ. 1852 - 1 มีนาคม ค.ศ. 1911) เป็นนักเคมีทางกายภาพชาวดัตช์ที่ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาเคมีเป็นคนแรก[2][3][4] วันต์โฮฟฟ์เป็นที่รู้จักเนื่องจากการค้นพบทฤษฎีในจลนพลศาสตร์เคมี สมดุลเคมี ความดันออสโมซิส ความคล้ายคลึงทางเคมี อุณหพลศาสตร์เคมีและสเตอริโอเคมีนอกจากนี้แล้วใน ค.ศ. 1874 วันต์โฮฟฟ์ได้คิดค้นทฤษฎีโครงสร้างสี่หน้าของอะตอมคาร์บอน และวางรากฐานการศึกษาโครงสร้างสามมิติของอะตอม ต่อจากนั้นใน ค.ศ. 1875 วันต์โฮฟฟ์ได้พบเจอโครงสร้างของ allenes (โมเลกุลที่มีคาร์บอนเป็นพันธะคู่) camulenes (ไฮโดรคาร์บอนที่มีพันธะคู่สามคู่ขึ้นไป) และ axial chirality[5][6][7][8]
ประวัติ
ยาโกบึส แฮ็นรีกึส วันต์โฮฟฟ์ เกิดในเมืองรอตเทอร์ดาม ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1852 ยาโกบึสเป็นลูกคนที่สามจากเจ็ดของนายแพทย์เฮนรี่คัส วันต์โฮฟฟ์และ อาลิด้า วันต์โฮฟฟ์[9]ในวัยเยาว์ ยาโกบึสมีความสนใจในด้านวิทยศาสตร์และธรรมชาติ และเข้าร่วมทัศนศึกษาพฤกษศาสตร์บ่อยครั้ง เมื่อยาโกบึสได้เริ่มเข้าเรียน ยาโกบึสได้แสดงความสนใจในการเรียนบทกวีและปรัชญา
ใน ค.ศ. 1869 ยาโกบึสศึกษาในมหาวิทยาลัยโปลีเทคนิค ณ เมืองเดลฟท์ และได้รับประกาศนียบัตรเทคโนโลยีเคมีใน ค.ศ. 1871[10][11][12] หลังจากนั้นยาโกบึสได้ทำงานในโรงงานน้ำตาลและค้นพบว่าอาชีพที่ยาโกบึสทำนั้นน่าเบื่อยาโกบึสจึงได้ตัดสินใจที่จะไปศึกษาในกรุงบอนน์ และการทำงานกับ A.F. Kekulé จากฤดูใบไม้ร่วงใน ค.ศ. 1872-73 ต่อมายาโกบึสได้ไปศึกษาต่อที่กรุงปารีสกับ A Wurtz ใน ค.ศ. 1873-74 ยาโกบึสกลับไปฮอลแลนด์ใน ค.ศ. 1874 เพื่อที่จะไปศึกษาต่อในเมืองยูเทรกต์ ในปีเดียวกันยาโกบึสได้รับปริญญาเอกภายใต้ชื่อ Eduard Mulder[13]
ใน ค.ศ. 1878 ยาโกบึสแต่งงานกับ Johanna Francina Mees มีบุตรสาวสองคนชื่อว่า Johanna Francina และ Aleida Jacoba และบุตรชายสองคนชื่อว่า Jacobus Henricus van 't Hoff III และ Govert Jacobยาโกบึสเสียชีวิตลงเมื่ออายุ 58 ปีในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1911 โดยมีสาเหตุการเสียชีวิตคือวัณโรค
หน้าที่การงาน
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a3/Jacobus_Henricus_van_%27t_Hoff.jpg/170px-Jacobus_Henricus_van_%27t_Hoff.jpg)
วันต์โฮฟฟ์เป็นที่รู้จักจากความรู้ในด้านเคมีอินทรีย์ ใน พ.ศ. 1874 วันต์โฮฟฟ์ได้ตั้งสมมุติฐานไว้ว่า พันธะเคมีระหว่างคาร์บอนและอะตอมรอบข้างจะมุ่งตรงไปยังมุมของปิรามิดฐานสามเหลี่ยมที่ไม่สมมาตร[14][15] ซึ่งโครงสร้างสามมิตินี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของโมเลกุลไอโซเมอร์ที่พบเจอทั่วไปในธรรมชาติ วันต์โฮฟฟ์ได้กล่าวชื่นชมถึงนักเคมีชาวฝรั่งเศส Joseph Achille Le Bel ซึ่งได้ตีพิมพ์วารสารที่มีแนวคิดเดียวกันกับของวันต์โฮฟฟ์เป็นภาษาฝรั่งเศส
สามเดือนก่อนที่วันต์โฮฟฟ์จะได้ส่งวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก (เรื่อง ผลงานเพื่อความรู้เกี่ยวกับกรด cyanoacetic และกรด malonic) วันต์โฮฟฟ์ตีพิมพ์ทฤษฎีโครงสร้างพันธะเคมีของอะตอมคาร์บอนเป็นภาษาดัตช์ในรูปแบบจุลสารเป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1874 โดยจุลสารนี้ประกอบไปด้วยข้อความสิบสองหน้าและไดอะแกรมหนึ่งหน้า วันต์โฮฟฟ์ได้ตีพิมพ์ทฤษฎีนี้เป็นอีกครั้งในปีต่อมาเป็นภาษาฝรั่งเศสที่มีหัวเรื่องว่า La chimie dans l'espace (Chemistry in Space) ถึงกระนั้น วันต์โฮฟฟ์และ Le Bel ยังเป็นนักเคมีที่มีอายุน้อย ซึ่งทำให้ทฤษฎีโครงสร้างพันธะเคมีนี้ถูกเพิกเฉยโดยวงการวงการวิทยาศาสตร์และถูกวิพากษ์อย่างเชือดเฉือนโดยนักเคมีชื่อดัง Hermann Kolbe[16] ผู้ได้กล่าวไว้ว่า:
"เป็นที่ปรากฏชัดว่าศาตราจารย์วันต์โฮฟฟ์แห่งวิทยาลัยสัตวแพทย์ยูเทรกต์ ไม่มีความชอบที่จะทำการศึกษาวิจัยในทางเคมีให้ถูกต้องแม่นยำ เขาคิดว่ามันง่ายกว่าที่จะขี่เพกาซัส (ยืมจากวิทยาลัยสัตวแพทย์ที่ วันต์โฮฟฟ์สอน) และประกาศอย่างที่เขากล่าวไว้ใน La chimie dans l’espace บนทางไปสู่ยอดเขาพาร์แนสซัสทางเคมี ว่าเขาเห็นอะตอมจัดเรียงอยู่ในห้วงอวกาศ"
จนกระทั่งใน ค.ศ. 1877 เมื่อทฤษฎีนี้ได้ถูกตีพิมพ์อีกรอบเป็นภาษาเยอรมัน วงการวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจกับทฤษฎีนี้มากขึ้น และประมาณ ค.ศ. 1880 บุคคลในวงการนักเคมีสำคัญเช่น Johannes Wislicenus และ Viktor Meyer ได้สนับสนุนทฤษฎีนี้ ใน ค.ศ. 1905 ทฤษฎีโครงสร้างพันธะเคมีของวันต์โฮฟฟ์เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางโดยนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ[16]
ใน ค.ศ. 1884 วันต์โฮฟฟ์ตีพิมพ์งานวิจัยเรื่องจลนพลศาสตร์เคมีซึ่งมีชื่อว่า Études de Dynamique chimique (การศึกษาเกี่ยวกับกลไกของปฏิกิริยาเคมี) ซึ่งในรายงานนี้วันต์โฮฟฟ์ได้เขียนถึงวิธีใหม่ในการกำหนดอันดับของปฏิกิริยาโดยใช้กราฟิกและใช้กฎของอุณหพลศาสตร์ในสมดุลเคมี นอกจากนี้แล้ว วันต์โฮฟฟ์ได้แนะนำแนวคิดในปัจจุบันของความคล้ายคลึงทางเคมี ใน ค.ศ. 1886 วันต์โฮฟฟ์แสดงให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกันของพฤติกรรมของสารละลายเจือจางและก๊าซ ใน ค.ศ. 1887 วันต์โฮฟฟ์และนักเคมีชาวเยอรมัน Wilhelm Ostwald ได้ก่อตั้งนิตยสารเชิงวิทยาศาสตร์ชื่อว่า Zeitschrift für Physikalische Chemie (วารสารเคมีฟิสิกส์) วันต์โฮฟฟ์ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีการแยกตัวของอิเล็กโทรไลต์ที่คิดค้นโดยสวานเต อาร์เรเนียส และให้หลักฐานเพื่อยืนยันการใช้งานของสมการอาร์เรเนียสใน ค.ศ. 1889 วันต์โฮฟฟ์ได้รับงานเป็นศาสตราจารย์ที่สถาบันวิทยาศาสตร์ปรัสเซียน ณ กรุงเบอร์ลินใน ค.ศ. 1896 การศึกษาเกี่ยวกับการตกตะกอนของเกลือที่วันต์โฮฟฟ์ ณ Staßfurt ถือว่าเป็นส่วนร่วมที่สำคัญในอุตสาหกรรมเคมีของปรัสเซีย
วันต์โฮฟฟ์ได้รับงานเป็นวิทยากรด้านเคมีและฟิสิกส์ที่ที่วิทยาลัยสัตวแพทย์ในเมืองยูเทรกต์ หลังจากนั้นแล้ว วันต์โฮฟฟ์จึงได้รับงานเป็นศาสตราจารย์ด้านเคมีวิทยา แร่วิทยา และธรณีวิทยาที่มหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัมในระยะเวลา 18 ปีก่อนที่วันต์โฮฟฟ์ได้เป็นหัวหน้าแผนกวิชาเคมี ใน ค.ศ. 1896 วันต์โฮฟฟ์ได้ยอมรับคำเชิญไปยังกรุงเบอร์ลินเพื่อเป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์และสมาชิกของสถาบันวิทยาศาสตร์ปรัสเซียน โดยเหตุผลหลักสำหรับการตัดสินใจนี้เป็นเพราะว่าในสถาบันวิทยาศาสตร์ปรัสเซียน วันต์โฮฟฟ์ต้องให้การบรรยายเนื้อหาเรียนให้แก่นักศึกษาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์ซึ่งแตกต่างกับตอนที่ วันต์โฮฟฟ์ได้ทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัมซึ่งให้ภาระแก่ วันต์โฮฟฟ์เป็นอย่างมาก เช่น การบรรยาเนื้อหาเรียนพื้นฐานที่น่าเบื่อและประเมินผลนักศึกษาเป็นจำนวนมากซึ่งรวมถึงนักศึกษาแพทย์ เพราะเหตุเหล่านี้ทำให้วันต์โฮฟฟ์ไม่มีเวลาในการทำงานวิจัยเป็นของตัวเอง ใน ค.ศ. 1901 วันต์โฮฟฟ์ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาเคมีเป็นครั้งแรก โดยงานที่ทำให้วันต์โฮฟฟ์ได้รับรางวัลคือการคิดค้นกฎของความดันออสโมซิสในสารละลาย และกฎของอัตราและกลไกการเกิดปฏิกิริยา วันต์โฮฟฟ์ทำงานอยู่ ณ กรุงเบอร์ลินจนถึงวันสิ้นชีวิต[16]
เกียรติคุณและรางวัล
ใน ค.ศ. 1885 วันต์โฮฟฟ์ได้เป็นสมาชิกของสถาบันการศึกษาวิทยศาตร์ของประเทศเนเธอร์แลนด์[17] นอกจากนี้แล้ว วันต์โฮฟฟ์ยังได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยเยล (ค.ศ. 1901) มหาวิทยาลัยวิกตอเรีย มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (ค.ศ. 1903) และมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก (ค.ศ. 1908) วันต์โฮฟฟ์ได้รับรางวัลเหรียญเดวี (เช่นเดียวกับ Joseph Achille Le Bel) และได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกต่างประเทศของราชสมาคมแห่งลอนดอน (ForMemRS) วันต์โฮฟฟ์ได้รับรางวัลเหรียญเฮ็ล์มฮ็อลทซ์จากสถาบันวิทยาศาสตร์ปรัสเซียน (ค.ศ. 1911) และได้รับตำแหน่ง Chevalier de la Légion d'honneur (ค.ศ. 1894) และ Senator der Kaiser-Wilhelm-Gesellschaft (ค.ศ. 1911) วันต์โฮฟฟ์กลายเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสมาคมเคมีอังกฤษ ราชบัณฑิตยสถานเนเธอร์แลนด์แห่งศิลปะและวิทยาศาสตร์ (ค.ศ. 1892) สมาคมเคมีอเมริกัน (ค.ศ. 1898) และสถาบันวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศส (ค.ศ. 1905) นอกเหนือจากนี้แล้ววันต์โฮฟฟ์เป็นบุคคลแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาเคมี ทฤษฎีและกฎที่ใช้ชื่อของวันต์โฮฟฟ์ได้แก่