จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มหาอำมาตย์โท
พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์)
|
---|
![](//upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/e/e8/Bust_of_Phraya_Boranrajadhanindra_%28Phorn_Tejagupta%29.jpg/220px-Bust_of_Phraya_Boranrajadhanindra_%28Phorn_Tejagupta%29.jpg) |
เกิด | 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2415 เมืองธนบุรี ประเทศสยาม |
---|
เสียชีวิต | 30 เมษายน พ.ศ. 2479 (64 ปี) จังหวัดพระนคร ประเทศสยาม |
---|
สัญชาติ | สยาม |
---|
ชื่ออื่น | เจ้าคุณกรุง |
---|
อาชีพ | ข้าราชการฝ่ายปกครอง |
---|
มีชื่อเสียงจาก | ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา |
---|
คู่สมรส | 6 คน |
---|
บุตร | 16 คน |
---|
บิดามารดา | - ขุนฤทธิ์ดรุณเสรฐ (เดช เดชะคุปต์) (บิดา)
- ไผ่ ฤทธิ์ดรุณเสรฐ (มารดา)
|
---|
ภาพล้อพระยาโบราณราชธานินทร์ ฝีพระหัตถ์รัชกาลที่ 6มหาอำมาตย์โท พระยาโบราณราชธานินทร์ นามเดิม พร เดชะคุปต์(28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2415 – 30 เมษายน พ.ศ. 2479) เป็นอดีตข้าราชการไทยสังกัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า มีชื่อเสียงจากความรอบรู้ในประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา และการเป็นผู้บุกเบิกการค้นคว้าทางโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา
ประวัติ
มหาอำมาตย์โท พระยาโบราณราชธานินทร์ สยามินทรภักดีพิริยพาหะ มีนามเดิมว่า พร เดชะคุปต์ เกิดเมื่อวันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2415 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่บ้านริมคลองบางกอกน้อย ธนบุรี โดยเป็นบุตรขุนฤทธิ์ดรุณเสรฐ (เดช เดชะคุปต์) สารวัตรใหญ่มหาดเล็กเวรฤทธิ์ กับ นางฤทธิ์ดรุณเสรฐ (ไผ่ สกุลเดิม กันตามะระ) มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 6 คน คือ
- หลวงประชุมบรรณสาร (พิณ เดชะคุปต์) รับราชการกระทรวงกลาโหม
- อำมาตย์โท พระยาพิพิธภักดี (เพิ่ม เดชะคุปต์) รับราชการกระทรวงมหาดไทย ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ปี พ.ศ. 2467[1]
- นางสาวใย เดชะคุปต์
- พระยาโบราณราชธานินทร์ฯ (พร เดชะคุปต์) รับราชการกระทรวงมหาดไทย
- นางอภิรักษสมบัติ (เรือน ดิษยรักษ์)
- นายพล เดชะคุปต์
ในวัยเด็ก พระยาโบราณราชธานินทร์ได้รับการศึกษาที่วัดยี่ส่าย ต่อมาบิดาได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ระหว่างนี้ได้ศึกษาเล่าเรียนกับพระยาศรีสุนทรโวหาร และเมื่อมีการจัดการศึกษาสมัยใหม่อย่างตะวันตก บิดาจึงได้นำไปถวายตัวกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และได้เข้าเรียนที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบในปี พ.ศ. 2432 จึงได้เป็นครูช่วยสอนที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบจนกระทั่งได้เริ่มเข้ารับราชการในปีถัดมา
ตำแหน่งทางราชการ
- พ.ศ. 2433 เสมียนโท กรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ
- พ.ศ. 2434 เสมียนเอกและสารวัตรตรวจโรงเรียนหลวง กระทรวงธรรมการ
- พ.ศ. 2435 เสมียนเวรพิเศษ กระทรวงพระคลัง ปฏิบัติหน้าที่เป็นรองเลขานุการส่วนพระองค์ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เสนาบดีกระทรวงพระคลัง
- พ.ศ. 2436 เสมียนเอก กระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่ฝึกหัดนักเรียนที่จะส่งไปรับราชการตามหัวเมือง
- พ.ศ. 2437 รองนายเวรกรมพลำภัง กระทรวงมหาดไทย (ปัจจุบันคือ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย)
- 18 มีนาคม พ.ศ. 2438 ขุนวิเศษรักษา ตำแหน่งขุนหมื่น[2]
- 1 เมษายน พ.ศ. 2439 พันพุฒอนุราช ตำแหน่งหัวพัน ถือศักดินา ๔๐๐[3]
- พ.ศ. 2439 ข้าหลวงมหาดไทยประจำมณฑลกรุงเก่า
- 18 มกราคม พ.ศ. 2439 รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นหลวงอนุรักษ์ภูเบศร์ ถือศักดินา ๘๐๐[4]
- พ.ศ. 2440 รักษาราชการแทนผู้รักษากรุงเก่า (นับเข้าทำเนียบนามผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน)
- 16 กันยายน พ.ศ. 2441 ผู้รักษากรุงเก่า (เทียบเท่าผู้ว่าราชการจังหวัดในปัจจุบัน)[5]
- 20 กันยายน พ.ศ. 2441 พระอนุรักษภูเบศร์ คงถือศักดินา 800[6]
- 22 กันยายน 2443 – พระยาโบราณบุรานุรักษ์ ถือศักดินา 3000[7]
- 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2444 ปลัดมณฑลกรุงเก่า[8]
- พ.ศ. 2446 ผู้รั้งตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาลกรุงเก่า[9]
- พ.ศ. 2447 ผู้ช่วยบรรณารักษ์หอสมุดพระวชิรญาณ
- 13 ตุลาคม พ.ศ. 2448 กรรมสัมปาทิกหอสมุดสำหรับพระนคร[10]
- 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 - ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า[11][12] (โดยเข้ารับพระราชทานสัญญาบัตรระหว่างเสด็จออกขุนนางที่ พระที่นั่งอภิเศกดุสิต)
- พ.ศ. 2450 - เลขานุการโบราณคดีสโมสร
- 29 ตุลาคม พ.ศ. 2451 - มรรคนายก วัดสุวรรณดาราราม[13]
- 14 ตุลาคม พ.ศ. 2454 นายหมู่ใหญ่[14]
- 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2455 ได้รับพระราชทานเพิ่มเกียรติยศเป็น พระยาโบราณราชธานินทร์ สยามินทรภักดี พิริยะพาหะ ตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาล สำเร็จราชการมณฑลกรุงเก่า ถือศักดินา 10,000 ไร่[15]
- 10 มิถุนายน พ.ศ. 2456 - นายกองตรี[16]
- 19 มิถุนายน พ.ศ. 2456 - ได้รับพระราชทานยศข้าราชการพลเรือนเป็นมหาอำมาตย์โท (เทียบเท่านายพลโทของทหารบก)[17]
- พ.ศ. 2457 กรรมการวรรณคดีสโมสร
- 10 กันยายน พ.ศ. 2459 - นายกองเอก[18]
- พ.ศ. 2459 เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่าและเป็นอุปราชภาคอยุธยา เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยรวบรวมหัวเมืองเป็นภาค
- พ.ศ. 2468 พ้นจากตำแหน่งอุปราชภาคอยุธยา เนื่องจากยกเลิกระบบการปกครองแบบภาค
- 22 พฤษภาคม 2469 – มหาอำมาตย์โท[19]
- พ.ศ. 2469 อุปนายกแผนกโบราณคดีของราชบัณฑิตยสภา
- 4 เมษายน พ.ศ. 2472 - เกษียณอายุราชการ[20]
ยศ
- 14 ตุลาคม 2454 – นายหมู่ใหญ่[21]
- 10 มิถุนายน 2456 – นายกองตรี[22]
ผลงาน
ไฟล์:พระที่นั่งสรรเพชร.jpgพระที่นั่งสรรเพชรมหาปราสาทที่สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งพระยาโบราณราชธานินทร์เป็นหัวหน้างานจัดสร้างบนรากฐานเดิม แต่ได้รื้อถอนออกภายหลัง- ชักชวนข้าราชการ พ่อค้า และประชาชน ร่วมกันสร้างโรงพยาบาลปัญจมธิราชอุทิศ เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของมณฑลอยุธยา (ปัจจุบันเป็นที่ทำการสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา) และนำเงินที่เหลือจากการสร้างโรงพยาบาลไปสร้างโอสถศาลาปัญจมธิราชอุทิศที่จังหวัดสระบุรี
- จัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเก่าในปี พ.ศ. 2459 เพื่อดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย
- ปรับปรุงตลาดใหม่ที่บริเวณหัวรอเมื่อ พ.ศ. 2458 โดยสร้างเป็นห้องแถว พื้นคอนกรีต ท่อระบายน้ำ สร้างโรงภาพยนตร์และตลาดแผงลอย (ปัจจุบันคือตลาดหัวรอ ซึ่งเป็นแหล่งค้าขายที่สำคัญแห่งหนึ่ง)
- จัดสร้างถนนรอบเกาะเมืองอยุธยาจนแล้วเสร็จต่อจากพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ สมุหเทศาภิบาลพระองค์แรก
- บูรณปฏิสังขรณ์วัดร้างภายในตัวเมืองอยุธยา ที่สำคัญได้แก่การบูรณะซ่อมแซมต่อพระกรด้านซ้ายและขวาของพระมงคลบพิตรเมื่อ พ.ศ. 2461 นอกจากนี้ยังได้ออกระเบียบการรื้อถอนวัดร้างเพื่อป้องกันการบุกรุก
- ทำนุบำรุงด้านการเกษตรกรรม โดยรวบรวมข้อมูลทางด้านเกษตรกรรม ขุดลอกคูคลองและจัดเก็บผักตบชวา
- ขุดแต่งบริเวณพระราชวังโบราณและปลูกสร้างพระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาทบริเวณรากฐานเดิมเพื่อใช้ในการพระราชกุศลรัชมงคล ฉลองสิริราชสมบัติครบ 40 ปีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2451
- เก็บรวบรวมศิลปวัตถุและโบราณวัตถุที่พบภายในเมืองอยุธยามารวบรวมไว้ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้นำสิ่งของเหล่านั้นไปจัดแสดงที่พระราชวังจันทรเกษม (ภายหลังกรมศิลปากรได้จัดตั้งเป็นพิพิธภัณท์สถานแห่งชาติจันทรเกษม)
ครอบครัว
ในปี พ.ศ. 2440 พระยาโบราณราชธานินทร์ เมื่อครั้งยังมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงอนุรักษ์ภูเบศร ได้สมรสกับนางสาวจำเริญ (สกุลเดิม อินทุสุต) ธิดาพระเทพเยนทร์ (ถนอม อินทุสุต) กับนางนวม ที่กรุงเทพฯ มีบุตรธิดาด้วยกัน 5 คนคือ
- นายพืชน์ เดชะคุปต์ อดีตผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการกรมหมาดไทย กระทรวงมหาดไทย
- นางเทพอักษร (พันธ์ อินทุสุต)
- นางพูน อารยะกุล
- นางสาวเพ็ญ เดชะคุปต์
- นางสาวพัฒน์ เดชะคุปต์
นอกจากนี้พระยาโบราณราชธานินทร์ยังมีบุตรธิดากับภรรยาท่านอื่นอีก 11 คน คือ
- นายจั่นเพชร เดชะคุปต์ (มารดาชื่อนางกิ่ง)
- นางเพิ่มศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา (มารดาชื่อนางประยูร)
- นายพฤทธิ์ เดชะคุปต์ (มารดาชื่อนางประยูร) อดีตสมุห์บัญชี อ.เมืองลำปาง
- นางสาวน้อม เดชะคุปต์ (มารดาชื่อนางถนอม)
- นายนันท์ เดชะคุปต์ (มารดาชื่อนางถนอม)
- นางอนงค์ เหมะกรม (มารดาชื่อนางถนอม)
- นายมานพ เดชะคุปต์ (มารดาชื่อนางเจิม)
- พันตำรวจโทวิรัตน์ เดชะคุปต์ (มารดาชื่อนางเจิม)
- นางสมบูรณ์ ทรรพมัทย์ (มารดาชื่อนางสุวรรณ)
- นายดำรง เดชะคุปต์ (มารดาชื่อนางสุวรรณ) อดีตปลัดจังหวัดระนอง
- รองศาสตราจารย์วรรณศิริ เดชะคุปต์ (มารดาชื่อนางสุวรรณ) ข้าราชการบำนาญ ทบวงมหาวิทยาลัย
ปัจจุบันยังคงเหลือบุตรที่ยังชีวิตอยู่สองท่าน คือ นางสมบูรณ์ ทรรพมัทย์ และ รองศาสตราจารย์วรรณศิริ เดชะคุปต์
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งสยามและต่างประเทศ ดังนี้
เครื่องราชอิสริยาภรณ์สยาม
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
เชิงอรรถ
อ้างอิง
- กรมศิลปากร. "ประวัติพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์)", ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 63. กรุงเทพฯ : โสภณพิพรรฒธนากร, (2479).