นะฉิ่นเหน่าง์
นะฉิ่นเหน่าง์ (พม่า: နတ်သျှင်နောင်, [naʔ ʃɪ̀ɰ̃ nàʊɰ̃]; ค.ศ. 1579–1613) หรือ นักสาง นักส้าง ตามพงศาวดารไทย ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าตองอู (สีหตู) อันเป็นพระอนุชาของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง นะฉิ่นเหน่าง์นั้นเป็นที่เลื่องลือในพม่าว่าเป็นมีความสามารถด้านการกวีสูงอย่างยิ่งและมีความรอบรู้ในพระไตรปิฎกเป็นอย่างมาก ต่อมานะฉิ่นเหน่าง์ได้ปกครองเมืองตองอูต่อจากพระราชบิดา ต่อมาได้เป็นผู้วางยาพิษปลงพระชนม์พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง
นะฉิ่นเหน่าง์ နတ်သျှင်နောင် | |||||
---|---|---|---|---|---|
อนุสาวรีย์นะฉิ่นเหน่าง์กับพระนางราชธาตุกัลยาที่ตองอู | |||||
กษัตริย์แห่งตองอู | |||||
ครองราชย์ | 11 สิงหาคม [ตามปฎิทินเก่า: 1 สิงหาคม] 1609 – 4 กันยายน [ตามปฎิทินเก่า: 23 สิงหาคม] 1610 | ||||
ราชาภิเษก | 21 สิงหาคม [ตามปฎิทินเก่า: 11 สิงหาคม] 1609 แรม 6 ค่ำ เดือน Wagaung 971 ME[1] | ||||
ก่อนหน้า | เมงเยสีหตูที่ 2 | ||||
ถัดไป | (ยุบเลิก) | ||||
ประสูติ | ประมาณ. มกราคม ค.ศ. 1579[note 1] ตองอู | ||||
สวรรคต | 9 เมษายน [ตามปฎิทินเก่า: 30 มีนาคม] 1613 (34 พรรษา) วันอังคาร แรม 6 ค่ำ เดือน Tagu ตอนปลาย 974 ME[note 2] สิเรียม | ||||
ชายา | พระนางราชธาตุกัลยา | ||||
พระราชบุตร | พระราชโอรส 6 พระองค์และพระราชธิดา 3 พระองค์โดยพระสนม[2] | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | ตองอู | ||||
พระราชบิดา | เมงเยสีหตูที่ 2 | ||||
พระราชมารดา | เมงเกงสอ |
ในช่วงนั้นเครือข่ายอำนาจของพม่าแตกออกเป็นสามขั้วคือ อังวะ แปร และตองอู พระเจ้าอังวะคือ พระเจ้าอะเนาะเพะลูน ได้ยึดเมืองแปรได้ นะฉิ่นเหน่าง์เห็นว่าเมืองตองอูคงไม่อาจสามารถต่อสู้กับอังวะได้จึงสวามิภักดิ์ต่อกรุงศรีอยุธยาซึ่งในสมัยนั้นมี สมเด็จพระเอกาทศรถปกครองอยู่ ต่อมาพระเจ้าอังวะได้บุกเมืองตองอู นะฉิ่นเหน่าง์ได้ขอความช่วยเหลือต่อกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเอกาทศรถทรงให้นายพลฟีลีปึ ดึ บรีตู ทหารรับจ้างชาวโปรตุเกสยกทัพไปช่วย แต่ไปไม่ทันเมืองตองอูก็แตกซะก่อน นะฉิ่นเหน่าง์จึงหนีไปที่เมืองสิเรียมกับนายพลฟีลีปึ ดึ บรีตูและเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ พระเจ้าอังวะสั่งให้ฟีลีปึ ดึ บรีตูส่งตัวนะฉิ่นเหน่าง์มาให้ตน แต่นายพลฟีลีปึไม่ยอม พระเจ้าอังวะจึงเข้าโจมตีเมืองสิเรียมในปี พ.ศ. 2156 แล้วจับนายพลฟีลีปึ ดึ บรีตูไปตรึงกางเขนและบังคับให้นะฉิ่นเหน่าง์มานับถือพุทธแต่ไม่ยอมจึงถูกประหารชีวิต[3][4]
เรื่องพระสังขทัต
ในพงศาวดารไทยในตอนศึกเมืองรุมเมืองคัง ได้กล่าวถึงกองทัพของพระสังขทัตที่ยกมาตีเมืองรุมเมืองคัง ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงว่าเป็นใครมาจากไหน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าคือโอรสพระเจ้านันทบุเรงที่ได้เป็นพระเจ้าแปร ต่อมาทรงเปลี่ยนสันนิษฐานเป็นนะฉิ่นเหน่าง์ในพระนิพนธ์หนังสือไทยรบพม่า และในหนังสือพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทำให้เชื่อกันว่าพระสังขทัตคือนะฉิ่นเหน่าง์ แต่พงศาวดารเกตุมดีตองอูระบุว่านะฉิ่นเหน่าง์มีอายุได้ 13 ปี ในสงครามยุทธหัตถี เมื่อเทียบกับช่วงเวลาในศึกเมืองรุมเมืองคัง นะฉิ่นเหน่าง์จะมีอายุประมาณ 2-3 ปี ทำให้พระสังขทัตไม่น่าจะเป็นคนเดียวกันกับนะฉิ่นเหน่าง์
ปัจจุบันมีการสันนิษฐานว่าพระสังขทัตควรเป็นพระเจ้าเมาะตะมะสิริสุธรรมราชา พระราชโอรสของพระเจ้าบุเรงนองกับพระนางราชเทวี ซึ่งมีพระนามเดิมว่าสังฆทัตถ (သင်္ဃဒတ္ထ) หรือ สังฆาทัตถ (သင်္ဃာ ဒတ္ထ) อันมีความใกล้เคียงกับชื่อพระสังขทัตในพงศาวดารไทยมาก[5][6][ระบุข้อมูลทางบรรณานุกรมไม่ครบ]
พงศาวลี
พงศาวลีของนะฉิ่นเหน่าง์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
หมายเหตุ
อ้างอิง
บรรณานุกรม
- Htin Aung, Maung (1967). A History of Burma. New York and London: Cambridge University Press.
- Myint-U, Thant (2006). The River of Lost Footsteps—Histories of Burma. Farrar, Straus and Giroux. ISBN 978-0-374-16342-6.
- Royal Historical Commission of Burma (1829–1832). Hmannan Yazawin (ภาษาพม่า). Vol. 1–3 (2003 ed.). Yangon: Ministry of Information, Myanmar.
- Sein Lwin Lay, Kahtika U (2006). Mintaya Shwe Hti and Bayinnaung: Ketumadi Taungoo Yazawin (ภาษาพม่า) (2nd printing ed.). Yangon: Yan Aung Sarpay.