ตาเหล่

ตาเหล่ หรือ ตาเข[4](อังกฤษ: Strabismus, crossed eyes, squint, cast of the eye[5][6][7]) เป็นภาวะที่ตาทั้งสองไม่มองตรงที่เดียวกันพร้อม ๆ กันเมื่อกำลังจ้องดูวัตถุอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งโดยตาข้างหนึ่งจะเบนไปในทางใดทางหนึ่งอย่างไม่คล้องจองกับตาอีกข้างหนึ่ง/หรือกับสิ่งที่มอง[8]และตาทั้งสองอาจสลับเล็งมองที่วัตถุ[3]และอาจเกิดเป็นบางครั้งบางคราวหรือเป็นตลอด[3]ถ้ามีอาการเป็นช่วงเวลานานในวัยเด็ก ก็อาจทำให้ตามัวหรือเสียการรู้ใกล้ไกล[3]แต่ถ้าเริ่มในวัยผู้ใหญ่ ก็มักจะทำให้เห็นภาพซ้อนมากกว่า[3]

ตาเหล่
(Strabismus)
ชื่ออื่นHeterotropia, crossed eyes, squint[1]
ตาเหล่มีอาการเป็นตาสองข้างที่ไม่เล็งมองไปทางเดียวกัน รูปแสดงแบบเหล่ออก (exotropic)
การออกเสียง
สาขาวิชาจักษุวิทยา
อาการตาส่อน[2]
ภาวะแทรกซ้อนตามัว เห็นภาพซ้อน[3]
ประเภทesotropia (เหล่เข้า) exotropia (เหล่ออก) hypertropia (เหล่ขึ้น)[3]
สาเหตุปัญหากล้ามเนื้อตา สายตายาว ปัญหาในสมอง บาดเจ็บ ติดเชื้อ[3]
ปัจจัยเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด อัมพาตสมองใหญ่ ประวัติครอบครัว[3]
วิธีวินิจฉัยสังเกตไฟสะท้อนจากรูม่านตา[3]
โรคอื่นที่คล้ายกันโรคเส้นประสาทสมอง[3]
การรักษาแว่นตา การผ่าตัด[3]
ความชุก~2% (เด็ก)[3]
ตามองเบนเข้าพอดี
ตามองเบนเข้าพอดี
ตาเหล่เข้า
ตาเหล่เข้า (Esotropia)
ตาเหล่ออก
ตาเหล่ออก (Exotropia)
เส้นขาดเป็นระยะที่ตรึงตา คนทั้งสามตรึงตาด้วยตาขวา

อาการอาจมีเหตุจากการทำงานผิดปกติของกล้ามเนื้อตา สายตายาว ปัญหาในสมอง การบาดเจ็บ หรือการติดเชื้อ[3]ปัจจัยเสี่ยงรวมทั้งการคลอดก่อนกำหนด อัมพาตสมองใหญ่ และประวัติการเป็นโรคในครอบครัว[3]มีแบบต่าง ๆ รวมทั้ง เหล่เข้า (esotropia) ที่ตาเบนเข้าหากันเหล่ออก (exotropia) ที่ตาเบนออกจากกันและเหล่ขึ้น (hypertropia) ที่ตาสูงต่ำไม่เท่ากัน[3]อาจเป็นแบบเหล่ทุกที่ที่มอง (comitant คือตาเหล่กลอกคู่) หรืออาจเหล่ไม่เท่ากันแล้วแต่มองที่ไหน (incomitant)[3]การวินิจฉัยอาจทำโดยสังเกตว่าแสงสะท้อนที่ตาไม่ตรงกับกลางรูม่านตา[3]มีภาวะอีกอย่างที่ทำให้เกิดอาการคล้าย ๆ กัน คือ โรคเส้นประสาทสมอง (cranial nerve disease)[3]

การรักษาจะขึ้นอยู่กับรูปแบบและเหตุ[3]ซึ่งอาจรวมการใช้แว่นตาและการผ่าตัด[3]มีบางกรณีที่มีผลดีถ้าผ่าตัดตั้งแต่ต้น ๆ[3]เป็นโรคที่เกิดในเด็กประมาณ 2%[3]

คำภาษาอังกฤษมาจากคำกรีกว่า strabismós ซึ่งแปลว่า "เหล่ตา"[9]

อาการ

เมื่อสังเกตคนตาเหล่ อาจจะเห็นได้ชัดคนไข้ที่ตาหันไปผิดทางมากและตลอดจะมองเห็นได้ง่ายแต่ถ้าผิดทางน้อย หรือเป็นบางครั้งบางคราว อาจจะสังเกตตามปกติได้ยากในทุก ๆ กรณี แพทย์พยาบาลเกี่ยวกับตาสามารถทดสอบด้วยวิธีต่าง ๆ เช่นปิดตา เพื่อตรวจดูว่าเป็นมากน้อยขนาดไหน

อาการของตาเหล่รวมทั้งการเห็นภาพซ้อน และ/หรือตาล้า/ตาเพลีย (asthenopia)เพื่อจะไม่ให้มีภาพซ้อน สมองอาจจะไม่สนใจข้อมูลจากตาข้างหนึ่ง (Suppression)ในกรณีนี้ อาจจะไม่เห็นอาการอะไรในคนไข้ยกเว้นการเสียการรู้ใกล้ไกลและความบกพร่องนี้อาจมองไม่เห็นในคนไข้ที่ตาเหล่แต่กำเนิดหรือตั้งแต่วัยเด็กต้น ๆเพราะคนไข้อาจได้เรียนรู้การรู้ระยะใกล้ไกลโดยใช้ตาเดียว[ต้องการอ้างอิง]ตาเหล่อย่างสม่ำเสมอที่ทำให้ใช้ตาข้างเดียวตลอดอาจทำให้เสี่ยงตามัวในเด็กส่วนตาที่เหล่น้อยหรือเป็นบางครั้งบางคราวอาจทำให้เห็นผิดปกติอย่างเฉียบพลันนอกจากปวดหัวและเมื่อยตาแล้ว อาการอาจรวมการอ่านหนังสือไม่สบาย ความเมื่อยล้าเมื่ออ่านหนังสือ หรือการเห็นที่ไม่คงเส้นคงวา

ผลทางจิต-สังคม

ตาเหล่ของดาราชายไรอัน กอสลิง ทำให้ดูไม่เหมือนใคร

คนทุกวัยที่มีอาการตาเหล่อาจมีปัญหาทางจิต-สังคม[10][11][12]และนักวิชาการก็อ้างว่า ผู้ที่มีตาเหล่อย่างมองเห็นได้อาจได้รับผลทางสังคม-เศรษฐกิจด้วยดังนั้น การตัดสินรักษาจึงต้องพิจารณาปัญหาเหล่านี้ด้วย[10][11][12]นอกเหนือไปจากการรักษาให้เห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตา[13]

งานศึกษาหนึ่งแสดงว่า เด็กตาเหล่มักจะมีพฤติกรรมช่างอาย วิตกกังวล และเป็นทุกข์ บ่อยครั้งทำให้มีความผิดปกติทางอารมณ์ซึ่งเป็นอาการที่สัมพันธ์กับการที่เพื่อนมองในแง่ลบโดยไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องสวย ๆ งาม ๆ เท่านั้น แต่จะเกี่ยวกับธรรมชาติของตาและการมองที่เป็นเครื่องหมายในการสื่อสารอีกด้วยซึ่งมีบทบาททางสังคมที่สำคัญต่อชีวิตของบุคคลโดยเฉพาะก็คือ การมีตาเหล่จะขัดการสบตากับผู้อื่น ซึ่งสร้างความอับอาย ความโกรธเคือง และความเคอะเขิน และดังนั้นจึงมีผลต่อการสื่อสารทางสังคมโดยพื้นฐาน ซึ่งอาจมีผลลบต่อความภูมิใจในตน[14]สำหรับบางคน ปัญหาเหล่านี้จะดีขึ้นอย่างสำคัญหลังจากการผ่าตัด[15]

มีสิ่งที่บ่งชี้ว่า เด็กที่ตาเหล่ โดยเฉพาะแบบเหล่ออก มีโอกาสมีความผิดปกติทางจิตใจมากกว่าเด็กปกติโดยนักวิจัยก็ยังเชื่อด้วยว่า ที่ตาเหล่เข้าไม่ปรากฏว่าสัมพันธ์กับโรคจิตก็เพราะพิสัยอายุของเด็กที่ร่วมงานวิจัย และเพราะระยะติดตามผลที่สั้นกว่าคือเด็กที่ตาเหล่เข้าได้ติดตามจนถึงอายุเฉลี่ยที่ 15.8 ปี เทียบกับเด็กตาเหล่ออกที่ติตตามจนถึง 20.3 ปี[16][17]

ต่อมา งานศึกษากับเด็กในเขตภูมิภาคเดียวกันที่มีตาเหล่เข้าแต่กำเนิด จึงได้ติดตามผลในระยะที่ยาวกว่าแล้วพบว่า เด็กตาเหล่เข้ามีโอกาสเกิดโรคจิตบางอย่างเมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ต้น ๆ คล้ายกับเด็กตาเหล่ออก โดยเด็กที่ตาเหล่ออกเป็นบางครั้ง และเด็กที่ตาเบนเข้าไม่พอ (convergence insufficiency)มีโอกาสเกิดโรคจิตเป็น 2.6 เท่าของเด็กกลุ่มควบคุมแต่ก็ไม่สัมพันธ์กับการคลอดก่อนกำหนด และไม่มีหลักฐานสัมพันธ์โรคจิตที่เกิดขึ้นทีหลัง กับตัวสร้างความเครียดทางจิต-สังคมที่คนไข้ตาเหล่มักจะมี

งานศึกษาต่าง ๆ ได้เน้นผลทั่วไปของความตาเหล่ต่อคุณภาพชีวิต[18]มีงานศึกษาซึ่งผู้ร่วมการทดลองดูภาพของคนตาเหล่และไม่เหล่ แล้วแสดงความเอนเอียงในเชิงลบอย่างสำคัญต่อคนที่ตาเหล่อย่างเห็นได้ซึ่งแสดงผลที่เป็นไปได้ทางสังคมเศรษฐกิจต่อคนตาเหล่ในเรื่องการหางาน และในเรื่องความสุขทั่วไปในชีวิตอื่น ๆ[19][20]

ทั้งผู้ใหญ่และเด็กเห็นการเหล่ขวา (right heterotropia) ว่า น่ารังเกียจมากกว่าตาเหล่ไปทางด้านซ้าย และเด็ก ๆ จะเห็นว่าตาเหล่เข้าจะแย่กว่าตาเหล่ออก[21]การผ่าตัดรักษาตาเหล่ที่สำเร็จผลทั้งในเด็กและในผู้ใหญ่ พบว่าช่วยทำให้ความรู้สึกทางจิตใจดีขึ้น[22][23]

มีงานวิจัยน้อยมากว่า ผู้ใหญ่มีกลยุทธ์การรับมือกับการมีตาเหล่ได้อย่างไรแต่งานศึกษาหนึ่งแบ่งกลยุทธ์ออกเป็น 3 หมวด คือการหลีกเลี่ยงร่วมทำกิจกรรม การเบนความสนใจของคนอื่นไปในเรื่องอื่นและการปรับตัวทำกิจกรรมโดยวิธีอื่น ๆนักวิจัยเสนอว่า คนไข้อาจได้ประโยชน์จากการสนับสนุนทางจิต-สังคม เช่นการฝึกทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล[24]

ยังไม่มีงานศึกษาว่า การแทรกแซงทางจิต-สังคมมีประโยชน์ต่อคนไข้ที่ผ่าตัดรักษาตาเหล่หรือไม่[25]

เหตุ

ตาเหล่สามารถเห็นได้ในคนไข้กลุ่มอาการดาวน์, Loeys-Dietz syndrome, อัมพาตสมองใหญ่, และ Edwards syndromeคนที่ครอบครัวมีประวัติก็จะมีโอกาสเสี่ยงสูงขึ้น[ต้องการอ้างอิง]

เหตุของตาเหล่ในผู้ใหญ่รวมทั้ง[26]

  • การจำกัดการทำงานของกล้ามเนื้อตา (extraocular muscles)
    • thyroid eye disease/Graves' ophthalmopathy ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อตาขยายตัวได้ถึง 6 เท่า ซึ่งขัดขวางการทำงานของตา
    • blowout fractures ซึ่งเป็นการบาดเจ็บเนื่องด้วยวัตถุที่ไม่คม เช่น กำปั้น ข้อศอก หรือลูกบอล ซึ่งปกติจะรวมความบาดเจ็บที่พื้นและ/หรือผนังใกล้กลาง (medial) ของเบ้าตา ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้อตาติดขัด
    • ความบาดเจ็บของเส้นประสาททรอเคลียร์ (CN IV) ซึ่งจะทำให้เห็นภาพซ้อนเหนือและใต้แถบที่มองเห็นเป็นปกติ
    • การผ่าตัดแก้จอตาลอกที่มีผลจำกัดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อตา เช่น superior oblique
  • เหตุที่เกิดจากกล้ามเนื้อ
    • Myasthenia gravis เป็นภาวะภูมิต้านตนเองที่มีผลทำลายตัวรับ acetylcholine ที่ neuromuscular endplate ของกล้ามเนื้อ
    • Myositis ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออักเสบ
  • เหตุที่เกิดจากเส้นประสาท
    • อัมพาตเส้นประสาทที่ 3 (Third nerve palsy)
    • อัมพาตเส้นประสาทที่ 4 (Fourth nerve palsy)
  • เหตุอื่น ๆ
    • ตาเบนเข้าไม่พอ (convergence insufficiency) ในคนไข้ที่บาดเจ็บที่ศีรษะ เป็นโรคพาร์คินสันหรือโรคฮันติงตัน
    • skew deviation เป็นการวินิจฉัยเลือกของ inferior oblique overreaction โดยไม่จำกัดที่กล้ามเนื้อมัดใดมัดหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งมักจะปรากฏพร้อมกับอาการของ posterior fossa disease อื่น ๆ

พยาธิสรีรวิทยา

กล้ามเนื้อตา (extraocular muscle) เป็นตัวควบคุมตำแหน่งของตาดังนั้น ปัญหาที่กล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ สามารถทำให้ตาเหล่ได้เส้นประสาทสมอง Oculomotor nerve (III), Trochlear nerve (IV), และ Abducens nerve (VI) เป็นเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อตาปัญหาที่เส้น III จะทำให้ตาที่ได้รับผลเบี่ยงลงและออก และอาจจะมีผลต่อขนาดรูม่านตาส่วนปัญหาของเส้น IV ซึ่งอาจเป็นแต่กำเนิด อาจทำให้ตาเบี่ยงขึ้นและอาจจะเบนเข้าหน่อย ๆส่วนปัญหาของเส้น VI อาจทำให้ตาเบี่ยงเข้า โดยมีเหตุที่เป็นไปได้มากมายเพราะเป็นเส้นประสาทที่ค่อนข้างยาวเช่น ความดันที่เพิ่มขึ้นในกะโหลกศีรษะอาจกดเส้นประสาทเมื่อมันวิ่งผ่านระหว่างส่วน clivus และก้านสมอง[27][ต้องการเลขหน้า]นอกจากนั้น ถ้าแพทย์ไม่ระวังไปบิดคอของทารกเมื่อคลอดโดยใช้ปากคีม (forceps delivery) ก็จะทำให้เส้นประสาท VI เสียหายได้[ต้องการอ้างอิง]แพทย์บางท่านยังเห็นหลักฐานด้วยว่า เหตุของตาเหล่อาจอยู่ที่สัญญาณประสาทที่ส่งไปยังเปลือกสมองส่วนการเห็น[28]ซึ่งทำให้ตาเหล่โดยไม่มีความเสียหายโดยตรงต่อเส้นประสาทสมองหรือกล้ามเนื้อตา

ตาเหล่ยังอาจทำให้ตามัว เพราะสมองไม่สนใจกระแสประสาทจากจอประสาทตาข้างหนึ่งอาการตามัวเป็นการที่ตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้างไม่สามารถเห็นชัดเจนได้ตามปกติแม้จะไม่มีโครงสร้างอะไรที่ผิดปกติในช่วง 7-8 ปีแรกแห่งชีวิต สมองจะเรียนรู้การตีความสัญญาณประสาทที่มาจากตาทั้งสองผ่านกระบวนการพัฒนาการการเห็นแต่ความตาเหล่อาจขัดกระบวนการนี้ได้ถ้าเด็กตรึงตาข้างเดียวโดยไม่ตรึงตาหรือตรึงตาอีกข้างหนึ่งน้อยเพื่อไม่ให้เห็นภาพซ้อน สัญญาณที่ส่งมาจากตาที่ผิดปกติสมองจะไม่รับ (Suppression) ซึ่งเมื่อเกิดตลอดที่ตาข้างเดียว ก็จะทำให้เกิดพัฒนาการทางการเห็นที่ผิดปกติ[ต้องการอ้างอิง]

นอกจากนั้น ตามัวก็ยังสามารถเป็นเหตุให้ตาเหล่ได้อีกด้วยถ้าความชัดเจนต่างกันมากระหว่างตาขวาซ้าย สัญญาณที่ได้อาจจะไม่เพียงพอให้ปรับตาไปยังตำแหน่งที่ถูกต้องเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เห็นต่างกันระหว่างซ้ายขวา รวมทั้งต้อกระจกที่ไม่เท่ากัน ความหักเหของแสงที่คลาดเคลื่อน (refractive error) หรือโรคตา ซึ่งอาจเป็นเหตุหรือทำให้ตาเหล่มากขึ้น[27]

Accommodative esotropia เป็นตาเหล่เข้าที่มีเหตุจากความหักเหของแสงที่คลาดเคลื่อน (refractive error) ที่ตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้างเมื่อบุคคลเปลี่ยนการมองจากวัตถุไกล ๆ มาที่วัตถุที่ใกล้ ๆ ก็จะเกิด accommodation reflex ซึ่งเปลี่ยนการเบนตา (vergence) เปลี่ยนรูปร่างของเลนส์ตา และเปลี่ยนขนาดรูม่านตา โดยการเบนตาจะเป็นแบบเบนเข้าถ้ารีเฟล็กซ์นี้มีมากกว่าปกติ เช่นบุคคลที่มีสายตายาว การเบนตาที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ดูตาเหล่[ต้องการอ้างอิง]

การวินิจฉัย

แพทย์อาจตรวจโดยให้ปิดตาหรือตรวจแบบ Hirschberg test ที่ใช้แสงสะท้อน เพื่อวินิจฉัยและวัดความตาเหล่และผลที่มีต่อสายตานอกจากนั้น การตรวจแบบ Retinal birefringence scanning ยังสามารถใช้ตรวจคัดตาเหล่ในเด็กเล็ก ๆโดยแพทย์จะวินิจฉัยแยกแยะความตาเหล่ออกเป็นแบบต่าง ๆ

ภาวะแฝง

ตาเหล่อาจปรากฏอย่างชัดเจน (ภาษาอังกฤษลงท้ายด้วย -tropia) หรืออาจเป็นภาวะแฝง (ภาษาอังกฤษลงท้ายด้วย -phoria) ตาเหล่แบบชัดเจน หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า heterotropia (ซึ่งอาจขึ้นต้นด้วยคำอุปสรรค eso-, exo-, hyper-, hypo-, cyclotropia หรือขึ้นด้วยอุปสรรคผสม) จะเกิดเมื่อคนไข้มองที่วัตถุด้วยสองตา โดยไม่ได้ปิดหรือบังตาข้างใดข้างหนึ่งแล้วคนไข้ไม่สามารถปรับตาเพื่อให้เห็นเป็นภาพเดียว (fusion) ได้

ภาวะแฝง หรือที่เรียกว่า heterophoria (ซึ่งอาจขึ้นด้วยคำอุปสรรค eso-, exo-, hyper-, hypo-, cyclophoria หรืออุปสรรคผสม) จะปรากฏต่อเมื่อขัดการเห็นด้วยสองตา เช่นปิดตาข้างหนึ่งคนไข้ประเภทนี้ปกติจะมองเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตาได้ แม้ตาจะมองไม่ตรงเมื่อปล่อยตามสบายตาที่เหล่เป็นบางครั้งบางคราวจะเกิดจากรูปแบบสองอย่างนี้ผสม ที่คนไข้จะสามารถมองเห็นเป็นภาพเดียว แต่บางครั้งหรือบ่อยครั้งจะปรากฏว่าเหล่อย่างชัดเจน

การเริ่มต้น

แพทย์อาจจัดหมู่ตาเหล่ตามเวลาที่เริ่มอาการ คือเป็นแต่กำเนิด เป็นทีหลัง หรือเป็นอาการทุติยภูมิของโรคอื่น ๆทารกจำนวนมากเกิดโดยมีตาเหล่หน่อย ๆ แต่เด็กจะพัฒนาปรับตาเป็นปกติภายใน 6-12 เดือน[29]ประเภทที่เหลือจะเกิดขึ้นทีหลังAccommodative esotropia ซึ่งเป็นการเบนเข้าของตาเกินเนื่องจาก accommodation reflex จะเกิดโดยมากในวัยเด็กต้น ๆ ส่วนตาเหล่ที่เกิดทีหลัง จะเกิดหลังจากการมองเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตาได้พัฒนาเต็มที่แล้วในผู้ใหญ่ที่ตอนแรกมองเป็นปกติ การเกิดตาเหล่มักจะทำให้เห็นภาพซ้อน โรคที่ทำให้การเห็นเสียหายก็อาจเป็นเหตุให้ตาเหล่ด้วย[30]และก็อาจเกิดจากความบาดเจ็บต่อตาที่เหล่

ส่วน Sensory strabismus เป็นอาการตาเหล่เนื่องจากเสียหรือพิการทางการเห็น แล้วทำให้ตาเหล่ไปทางด้านข้าง ด้านตั้ง แบบบิด (torsional) หรือแบบผสม โดยตาที่เห็นแย่กว่าจะค่อย ๆ เหล่ไปในระยะยาวแม้มักจะเป็นการเหล่ทางด้านข้างมากที่สุดแต่ก็ขึ้นอยู่กับอายุที่เกิดความเสียหายด้วยคนไข้ที่พิการทางสายตาตั้งแต่กำเนิดมีโอกาสตาเหล่เข้า (esotropia) มากที่สุดเทียบกับคนไข้ที่การเห็นพิการทีหลังมักจะตาเหล่ออก (exotropia)[31][32][33]ในแบบสุดโต่งอย่างหนึ่ง ตาที่บอดสิ้นเชิงข้างหนึ่งจะทำให้ตาข้างนั้นอยู่ในตำแหน่งพักตลอด[34]

แม้จะรู้เหตุที่ทำให้ตาเหล่หลายอย่างแล้ว รวมทั้งการบาดเจ็บที่ตาซึ่งเหล่ แต่ก็ยังมีกรณีที่ไม่รู้เหตุโดยเฉพาะที่เป็นตั้งแต่วัยเด็กต้น ๆ[35]

งานศึกษาตามแผนในสหรัฐอเมริกาพบว่า ความชุกของอาการตาเหล่ในผู้ใหญ่จะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะหลังจากอายุ 60 ปีโดยจะถึงจุดสูงสุดในช่วงทศวรรษที่ 8 และความเสี่ยงตาเหล่ตลอดชีวิตในวัยผู้ใหญ่อยู่ที่ 4%[36]

ข้าง

ตาเหล่สามารถจัดว่าเป็นข้างเดียว (unilateral) ถ้ามีตาข้างเดียวเท่านั้นที่เหล่ หรือเป็นสลับข้าง (alternating) ถ้าตาทั้งสองข้างเหล่การสลับข้างอาจเกิดเองโดยที่คนไข้ก็ไม่รู้ตัวหรืออาจสลับเนื่องจากการตรวจตา[37][ต้องการเลขหน้า]ตาเหล่ข้างเดียวมักจะมาจากการบาดเจ็บต่อตาที่มีปัญหา[31]

ทิศทาง

การเหล่ออกข้าง ๆ สามารถแบ่งออกเป็นสองแบบคำอังกฤษที่ขึ้นด้วยอุปสรรค Eso หมายถึงการเหล่เข้าที่ขึ้นด้วย Exo หมายถึงการเหล่ออก

การเหล่ขึ้นลงก็สามารถแบ่งเป็นสองแบบได้เหมือนกันคำอุปสรรค Hyper จะใช้กับตาที่เหล่ขึ้นโดยเทียบกับตาอีกข้าง ในขณะที่ hypo จะใช้กับตาที่เหล่ลงส่วนคำว่า Cyclo หมายถึงตาเหล่บิด คือตาที่เหล่โดยหมุนรอบ ๆ แกนหน้าหลัง ซึ่งมีน้อยมาก[โปรดขยายความ]

การตั้งชื่อ

คำอุปสรรคอังกฤษที่แสดงทิศทางจะใช้ประกอบกับคำว่า -tropia และ -phoria เพื่อกำหนดตาเหล่ประเภทต่าง ๆยกตัวอย่างเช่น constant left hypertropia หมายถึงตาข้างซ้ายจะอยู่สูงกว่าตาด้านขวาเสมอส่วนคนไข้ที่มี intermittent right esotropia จะมีตาขวาที่บางครั้งบางคราเหล่ไปทางจมูก แต่ในเวลาที่เหลือจะมองเป็นปกติ คนไข้ที่มี mild exophoria จะดูปกติในสถานการณ์ทั่วไปแต่เมื่อระบบเกิดขัดข้อง ตาที่ปล่อยตามสบายจะเหล่ออกหน่อย ๆ

เรื่องอื่น ๆ

ความตาเหล่ยังสามารถจัดหมู่ดังต่อไปนี้

  • Paretic strabismus เป็นตาเหล่เกิดจากกล้ามเนื้อตาหนึ่ง ๆ หรือหลายมัดอัมพาต
  • Nonparetic strabismus เป็นตาเหล่ที่ไม่ได้เกิดจากความอัมพาตของกล้ามเนื้อตา
  • Comitant/concomitant strabismus เป็นอาการตาเหล่แบบเท่า ๆ กันไม่ว่าจะมองไปที่ตรงไหน
  • Noncomitant/incomitant strabismus เป็นตาที่เหล่ไม่เท่ากันแล้วแต่จะมองขึ้นลงหรือมองข้าง ๆ

Nonparetic strabismus ปกติจะเป็นแบบเท่า ๆ กันไม่ว่าจะมองไปในที่ใด (concomitant)[38]ตาเหล่ของทารกและเด็กโดยทั่วไปจะเป็นแบบเท่า ๆ กัน[39]ส่วน Paretic strabismus อาจเป็นแบบเท่ากันหรือไม่เท่ากันก็ได้แบบไม่เท่ากันมักจะเมีเหตุจากตาที่หมุนได้ไม่เต็มที่เนื่องจากปัญหาทางกล้ามเนื้อ เช่น ocular restriction หรือจาก extraocular muscle paresis[39]ตาเหล่แบบไม่เท่ากัน/ตาเหล่เหตุอัมพาตจะไม่สามารถแก้ได้ด้วยแว่นตาปริซึม เพราะจะต้องใช้ปริซึมที่ต่าง ๆ กันขึ้นอยู่กับที่ที่มอง[40]

แบบต่าง ๆ ของตาเหล่ไม่เท่ากันรวมทั้ง Duane syndrome, horizontal gaze palsy, และ congenital fibrosis of the extraocular muscles[41]

ถ้าตาเหล่ออกมากและชัดเจน ก็จะเรียกว่า large-angle (มุมกว้าง) โดยหมายถึงมุมที่เหล่ออกจากเส้นที่ควรมองตาที่เหล่ออกน้อยกว่าเรียกว่า small-angle (มุมแคบ)แต่มุมอาจต่าง ๆ กันขึ้นอยู่กับว่ามองใกล้หรือไกล

ตาเหล่ที่เกิดหลังจากผ่าตัดแก้ไขจะเรียกว่า consecutive strabismus

การวินิจฉัยแยกโรค

Pseudostrabismus เป็นอาการตาเหล่เทียมซึ่งปกติเกิดขึ้นในทารกหรือเด็กหัดเดินที่ดั้งจมูกกว้างและแบน แล้วทำให้ดูเหมือนตาเหล่เข้า (esotropia) เนื่องจากเห็นตาขาวทางด้านจมูกน้อยกว่าปกติแต่เมื่ออายุมากขึ้น ดั้งจมูกก็จะแคบลงและหนังคลุมหัวตาก็จะลดลงแล้วทำให้เห็นตาขาวเป็นปกติ

มะเร็งจอตา (Retinoblastoma) ก็อาจเป็นเหตุให้ตาสะท้อนแสงผิดปกติได้ด้วย

การผ่าตัดแก้ไขตาเหล่ในทารกอายุ 8 เดือน

การบริหาร

เหมือนกับโรคเกี่ยวกับการเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตาอื่น ๆ จุดมุ่งหมายหลักของการรักษาก็เพื่อให้เห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตาอย่างสบายตาและเป็นปกติ ในทุก ๆ ระยะและทุก ๆ มุมมอง[42]

ตาเหล่ในประเทศตะวันตกมักจะรักษาแบบผสมโดยใช้แว่นตา การบำบัดการเห็น (vision therapy) และการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับสาเหตุเทียบกับตามัว/ตาขี้เกียจ (amblyopia) ซึ่งถ้าเล็กน้อยและตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะสามารถแก้ได้โดยใช้ผ้าปิดตาอีกข้างหนึ่งหรือการบำบัดการเห็น แต่การใช้ผ้าปิดตามีโอกาสเปลี่ยนมุมตาเหล่ได้น้อย

แว่นตา

ในคนไข้ Accommodative esotropia ตาจะเหล่เข้าเพื่อพยายามโฟกัสตาที่มีสายตายาวและการรักษากรณีเช่นนี้จะต้องแก้ไขการหักเหของแสงซึ่งปกติจะทำโดยใช้แว่นตาหรือเลนส์สัมผัสในกรณีที่อำนาจการหักเหแสงของนัยน์ตาสองข้างต่างกันมาก (anisometropia) เลนส์สัมผัสอาจดีกว่าแว่นตาเพื่อเลี่ยงปัญหาการเห็นวัตถุเดียวแต่มีขนาดต่างกัน (aniseikonia) ซึ่งอาจเกิดจากแว่นตาที่มีอำนาจการหักเหแสงที่ต่างกันมากระหว่างสองตาในกรณีเด็กตาเหล่จำนวนหนึ่งที่มี anisometropic amblyopia แพทย์จะลองใช้เลนส์หักเหแสงระดับต่าง ๆ กันก่อนผ่าตัดแก้ตาเหล่[43]

การรักษาตาเหล่ตั้งแต่เนิ่น ๆ ในวัยทารกอาจลดโอกาสตามัว (amblyopia) หรือมีปัญหาการรู้ความใกล้ไกลแต่งานทบทวนการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมสรุปว่า การใช้แว่นสายตาเพื่อป้องกันตาเหล่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน[44]

เด็กโดยมากจะหายจากตามัวถ้าได้ผ้าปิดตาและแว่นสายตา[ต้องการอ้างอิง]แพทยศาสตร์พิจารณามานานแล้วว่า ปัญหาจะเป็นอย่างถาวรถ้าไม่รักษาในช่วงระยะเวลาสำคัญ ซึ่งก็คือก่อนอายุประมาณ 7 ขวบ[29]แต่งานศึกษาเมื่อไม่นานก็ให้เหตุผลคัดค้านมุมมองนี้ และเสนอให้เปลี่ยนช่วงระยะสำคัญ เพื่ออธิบายการกลับรู้ความใกล้ไกลได้ในวัยผู้ใหญ่

ตาที่คงเหล่สามารถมีปัญหาทางการเห็นอื่น ๆ เพิ่มขึ้นแม้จะแก้ตาเหล่ไม่ได้ แว่นปริซึมสามารถใช้ทำให้สบายและป้องกันไม่ให้เห็นภาพซ้อน

การผ่าตัด

การผ่าตัดแก้ตาเหล่ไม่ได้ช่วยให้เด็กไม่ต้องใส่แว่นตาสำหรับเด็ก ปัจจุบันยังไม่รู้ว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่ ระหว่างการผ่าตัดแก้ตาเหล่ก่อนหรือหลังการรักษาตามัว[45]

การผ่าตัดแก้ตาเหล่จะพยายามปรับตาให้ตรงโดยลดความยาว เพิ่มความยาว หรือเปลี่ยนตำแหน่งของกล้ามเนื้อตามัดหนึ่งหรือมากกว่านั้นซึ่งสามารถทำได้ภายใน ชม. หนึ่ง โดยใช้เวลาฟื้นตัว 1-8 อาทิตย์ไหมที่แก้ปรับได้อาจใช้เพื่อช่วยให้ปรับตาให้ตรงยิ่งขึ้นหลังการผ่าตัดในระยะต้น ๆ[46]

การมองเห็นเป็นสองภาพอาจเกิดแม้น้อยมาก โดยเฉพาะทันทีหลังผ่าตัด[ต้องการอ้างอิง]และการเสียการเห็นก็มีน้อยมากแว่นตาจะมีผลต่อตำแหน่งตาเพราะเปลี่ยนรีเฟล็กซ์เนื่องกับการโฟกัสสายตาส่วนปริซึมจะเปลี่ยนรูปแบบที่แสงและภาพจะมากระทบกับจอตา โดยเป็นการเลียนการเปลี่ยนตำแหน่งของตา[30]

ยา

ยาจะใช้รักษาตาเหล่ในบางกรณีในปี 2532 องค์การอาหารและยาสหรัฐอนุมัติการบำบัดด้วยโบทูลินั่ม ท็อกซิน สำหรับคนไข้ตาเหล่อายุมากกว่า 12 ขวบ[47][48]เป็นการรักษาที่ใช้สำหรับผู้ใหญ่โดยมาก แต่ก็ใช้ในเด็กด้วยโดยเฉพาะที่มี infantile esotropia[49][50][51]แพทย์จะฉีดท็อกซินเข้าในกล้ามเนื้อตามัดที่แข็งแรงกว่า ซึ่งทำให้อัมพาตชั่วคราวและอาจจะต้องฉีดซ้ำ 3-4 เดือนหลังจากที่ความอัมพาตหายไปผลข้างเคียงสามัญรวมทั้งการเห็นภาพซ้อน หนังตาตก แก้เกิน และไร้ผลแต่ผลข้างเคียงปกติจะหมดไปภายใน 3-4 เดือนการรักษานี้รายงานว่า ได้ผลดีเท่ากับการผ่าตัดสำหรับคนไข้ที่สามารถเห็นภาพเดียวด้วยสองตา และได้ผลดีน้อยกว่าสำหรับคนไข้ที่เห็นภาพซ้อนด้วยสองตา[52]

พยากรณ์โรค

ถ้าตาเหล่ตั้งแต่กำเนิดหรือเกิดในช่วงวัยทารก อาจจะเป็นเหตุให้ตามัว (amblyopia) ที่สมองจะไม่สนใจข้อมูลสายตาจากตาที่มีปัญหาแม้จะบำบัดรักษาตามัว การไม่รู้ใกล้ไกล (stereoblindness) ก็ยังอาจเกิดได้ตาเหล่ยังทำให้เกิดปัญหาภาพพจน์ส่วนบุคคลงานศึกษาหนึ่งแสดงว่า คนไข้ผู้ใหญ่ 85% "รายงานว่ามีปัญหาในที่ทำงาน ในสถาบันการศึกษา และการกีฬาเพราะตาที่เหล่ของตน"คนไข้งานศึกษาเดียวกัน 70% รายงานว่า ตาเหล่ "มีผลลบต่อภาพพจน์ของตนเอง"[53]บ่อยครั้ง คนไข้ต้องผ่านการผ่าตัดเป็นครั้งที่สองเพื่อทำตาให้ตรง[27][ต้องการเลขหน้า]

เชิงอรรถและอ้างอิง

แหล่งอ้างอิงอื่น ๆ

  • Billson, Frank (2003). Lightman, Susan (บ.ก.). Strabismus. Fundamentals of Clinical Ophthalmology series. BMJ Books. ISBN 0727915622.
  • Donahue, Sean P.; Buckley, Edward G.; Christiansen, Stephen P.; Cruz, Oscar A.; Dagi, Linda R. (2014). "Difficult problems: strabismus". Journal of American Association for Pediatric Ophthalmology and Strabismus (JAAPOS). 18 (4): e41. doi:10.1016/j.jaapos.2014.07.132.
การจำแนกโรค
ทรัพยากรภายนอก
🔥 Top keywords: พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคลหน้าหลักพระสุนทรโวหาร (ภู่)องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยพิเศษ:ค้นหาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพรอสมทวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ลีก 2024สไปร์ท (แร็ปเปอร์)ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024พุ่มพวง ดวงจันทร์ดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)อีดิลอัฎฮาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียวราชวงศ์จักรีลำดับโปเจียมแห่งราชอาณาจักรไทยรายชื่อตัวละครในพระอภัยมณีหม่อมเจ้านวพรรษ์ ยุคลทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคลพระอภัยมณีหม่อมเจ้ามงคลเฉลิม ยุคลหม่อมเจ้าฑิฆัมพร ยุคลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรหลานม่าอริยสัจ 4ตารางธาตุนิราศภูเขาทองรายชื่อเครื่องดนตรีเฌอมาวีร์ สุวรรณภาณุโชคประเทศไทยอาณาจักรอยุธยาปิติ ภิรมย์ภักดีวอลเลย์บอลวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย