สุมาเจียว
สุมาเจียว (ค.ศ. 211 – 6 กันยายน ค.ศ. 265[a]) มีชื่อในภาษาจีนกลางว่า ซือหม่า เจา (จีน: 司馬昭; พินอิน: Sīmǎ Zhāo; ) ชื่อรอง จื่อช่าง (จีน: 子上; พินอิน: Zǐshàng) เป็นขุนพล ขุนนาง และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของรัฐวุยก๊กในยุคสามก๊กของจีน
สุมาเจียว (ซือหม่า เจา) 司馬昭 | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
![]() ภาพวาดสุมาเจียว (ทางขวา) ในยุคราชวงศ์ชิง | |||||||||||||
จีนอ๋อง / อ๋องแห่งจิ้น (晉王 จิ้นหวาง) | |||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง | 2 พฤษภาคม ค.ศ. 264 – 6 กันยายน ค.ศ. 265 | ||||||||||||
ถัดไป | สุมาเอี๋ยน | ||||||||||||
ก๋งแห่งจิ้น (晉公 จิ้นกง) | |||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง | 9 ธันวาคม ค.ศ. 263[1][2][3][4] – 2 พฤษภาคม ค.ศ. 264 | ||||||||||||
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งวุยก๊ก | |||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง | 23 มีนาคม ค.ศ. 255 – 6 กันยายน ค.ศ. 265 | ||||||||||||
ก่อนหน้า | สุมาสู | ||||||||||||
ถัดไป | สุมาเอี๋ยน | ||||||||||||
ประสูติ | ค.ศ. 211 | ||||||||||||
สวรรคต | 6 กันยายน ค.ศ. 265[5] นครลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน | (53–54 ปี)||||||||||||
คู่อภิเษก | หวาง ยฺเหวียนจี | ||||||||||||
พระราชบุตร | สุมาเอี๋ยน สุมาฮิว ซือหม่า เจี้ยน ซือหม่า จี ซือหม่า เหยียนจั้ว องค์หญิงจิงเจ้า | ||||||||||||
| |||||||||||||
ราชวงศ์ | ราชตระกูลสุมา (ซือหม่า) | ||||||||||||
พระราชบิดา | สุมาอี้ | ||||||||||||
พระราชมารดา | จาง ชุนหฺวา |
สุมาเจียวยังสามารถกุมอำนาจราชสำนักวุยก๊กหลังสุมาอี้ผู้บิดาเคยยึดอำนาจมาได้และสุมาสูพี่ชายสืบทอดอำนาจถัดมา สุมาเจียวทำการการกำจัดฝ่ายตรงข้ามภายในซึ่งแสดงท่าทีต่อต้านหรือก่อการกบฏได้ทั้งหมด ในปี ค.ศ. 263 สุมาเจียวตัดสินใจฉวยโอกาสส่งทัพบุกรัฐจ๊กก๊กทางตะวันตกในช่วงที่จ๊กก๊กกำลังอ่ออแอ ในที่สุดก็สามารถบังคับให้เล่าเสี้ยนจักรพรรดิแห่งจ๊กก๊กยอมจำนน จ๊กก๊กล่มสลายกลายเป็นส่วนหนึ่งในอาณาเขตของวุยก๊ก หลังเสร็จสิ้นการทัพ สุมาเจียวได้ขึ้นเป็นก๋งแห่งจิ้น (晉公 จิ้นกง) และได้รับเครื่องยศเก้าประการ ต่อมาในปี ค.ศ. 264 ได้ขึ้นเป็นจีนอ๋องหรืออ๋องแห่งจิ้น (晉王 จิ้นหวาง) ทำให้สุมาเจียวเข้าใกล้การช่วงชิงบัลลังก์ แต่สุมาเจียวก็ไม่ได้ครองบัลลังก์เพราะเสียชีวิตในปี ค.ศ. 265 ผลงานในการทหารและความสำเร็จในการกุมอำนาจทางการเมืองของสุมาเจียวมีส่วนช่วยในแผนการโค่นล้มวุยก๊กโดยสุมาเอี๋ยนผู้เป็นบุตรชาย สุมาเอี๋ยนชิงบัลลังก์วุยก๊กและสถาปนาราชวงศ์จิ้นโดยสุมาเอี๋ยนขึ้นเป็นจัพกรพรรดิเมื่อปี ค.ศ. 266 หลังการสถาปนาราชวงศ์จิ้น สุมาเอี๋ยนพระราชทานสมัญญานามให้สุมาเจียวผู้เป็นพระบิดาให้ขึ้นเป็นจักรพรรดิจิ้นเหวินตี้ (晉文帝) มีนามวัดว่าไท่จู่ (太祖)
มีสำนวนจีนที่เกี่ยวข้องกับสุมาเจียวกล่าวว่า “ความคิดสุมาเจียว คนเดินถนนยังรู้” (司馬昭之心, 路人皆知) มีความหมายว่าเจตนาซ่อนเร้นของคนผู้หนึ่ง (ในกรณีนี้คือการแย่งชิงบัลลังก์) เป็นที่รู้กันดีจนเหมือนไม่ได้ซ่อนเร้นจริง ๆ มาจากคำตรัสของโจมอ จักรพรรดิลำดับที่ 4 ของวุยก๊กผู้พยายามก่อการกำเริบเพื่อชิงพระราชอำนาจคืนจากสุมาเจียวแต่ไม่สำเร็จ
ประวัติช่วงต้น
สุมาเจียวเกิดในปี ค.ศ. 211 เป็นบุตรชายคนที่สองของสุมาอี้และภรรยาจาง ชุนหฺวา (張春華) มีอายุน้อยกว่าสุมาสู[b] เนื่องด้วยสุมาอี้ผู้บิดาเป็นขุนนางคนสำคัญของวุยก๊ก สุมาเจียวจึงได้ขึ้นมามีตำแหน่งขุนนางที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากความสำเร็จของสุมาอี้ในการปราบขุนศึกกองซุนเอี๋ยน สุมาเจียวจึงได้รับบรรดาศักดิ์เป็นซินเฉิงเซียงโหว (新城鄉侯)[c] ในช่วงสิ้นปี ค.ศ. 238 ราวปี ค.ศ. 240 สุมาเจียวได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนพลราชองครักษ์แห่งนิคมการเกษตร (典農中郎將 เตี่ยนหนงจงหลางเจี้ยง) อีกหนึ่งปีต่อในปี ค.ศ. 241 สุมาเจียวได้รับการแต่งตั้งเป็นนายทหารม้ามหาดเล็ก (散騎常侍 ซานฉีฉางชื่อ) ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 244 สุมาเจียวเข้าร่วมในการทัพของโจซองรบกับจ๊กก๊ก สุมาเจียวมีผลงานในขับไล่ทัพจ๊กก๊กที่ยกเข้าปล้นค่ายตอนกลางคืน แม้ว่าการทัพของโจซองในท้ายที่สุดจะล้มเหลว แต่สุมาเจียวก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นขุุนนางที่ปรึกษา (議郎 อี้หลาง) (โดยทั่วไปถือว่าตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งลอย สุมาเจียวอยู่ในตำแหน่งนี้มากกว่า 5 ปี ซึ่งน่าจะเป็นโจซองและพรรพพวกที่แต่งตั้งให้สุมาเจียวเพื่อป้องกันไม่ให้มีความก้าวหน้าทางการเมืองขึ้นไปอีก)[8]
การรับราชการจนถึงปี ค.ศ. 255
อุบัติการณ์สุสานโกเบงเหลง
การมีส่วนร่วมของสุมาเจียวในการก่อรัฐประกาศของสุมาอี้โค่นอำนาจโจซองในปี ค.ศ. 249 ไม่เป็นที่แน่ชัด ในจดหมายเหตุราชวงศ์จิ้นระบุว่าแผนที่สุมาอี้และสุมาสูคิดการกันนั้นไม่ได้บอกสุมาเจียวจนกระทั่งดำเนินการไปแล้ว ทัศนะนี้นักประวัติศาสตร์คนอื่น ๆ ไม่เห็นด้วย ยืนยันว่าสุมาเจียวจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการวางแผนการ ภายหลังการก่อรัฐประหารประสบความสำเร็จ สุมาอี้ได้อำนาจทางการเมืองสูงสุดในวุยก๊ก และตัวสุมาเจียวก็ได้รับศักดินาเพิ่มเติม 1,000 ครัวเรือนและกลายเป็นผู้มีสถานะสำคัญ ในปี ค.ศ. 251 เมื่อสุมาอี้ปราบปราบกบฏหวาง หลิง (王淩) สุมาเจียวทำหน้าที่เป็นรองแม่ทัพและได้รับบำเหน็จเป็นศักดินาเพิ่มเติมอีก 300 ครัวเรือน และได้บรรดาศักดิ์ระดับโหวสำหรับบุตรชายคนเล็กคือสุมาฮิว ในช่วงไม่กี่ปีถัดมา สุมาเจียวมีส่วนร่วมในการบัญชาทัพต่อต้านการบุกของเกียงอุยแม่ทัพจ๊กก๊ก
ยุทธการที่ตังหิน
ในปี ค.ศ. 253 ทัพวุยก๊กนำโดยสุมาเจียวยกไปทางตะวันออกเพื่อรบกับง่อก๊กที่ยกล่วงชายแดนโดยการสร้างเขือนที่ทะเลสาบและนำกำลังทหารมาตั้งมั่นในดินแดนที่เป็นของวุยก๊ก เหล่านายทหารของวุยก๊กเห็นว่าพวกตนอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัยและมีจำนวนทหารที่มากกว่าจึงประมาทและเอาแต่เมาสุรา เลยพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วต่อทัพง่อก๊กที่นำโดยเตงฮองและลีกี บีบให้ทัพวุยก๊กต้องถอยหนี หลังจากความพ่ายแพ้ในยุทธการที่ตังหิน สุมาเจียวถามนายกองหวาง อี๋ (王仪) เป็นการส่วนตัวว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในความพ่ายแพ้ในยุทธการนี้ หวาง อี๋ตอบว่า "ความรับผิดชอบตกเป็นของแม่ทัพ" สุมาเจียวโต้กลับว่า "นายกองหมายว่าให้ข้าแบกความรับผิดชอบหรือ" จากนั้นจึงให้สั่งประหารชีวิตหวาง อี้ สุมาสูผู้สำเร็จราชการและพี่ชายของสุมาเจียวได้รับฎีกาจากเหล่าเสนาบดีเสนอให้อองซอง บู๊ขิวเขียม อ้าวจุ๋น และคนอื่น ๆ ทั้งหมดที่มีส่วนร่วมในการทัพให้ถูกลดขั้นจากความพ่ายแพ้ แต่สุมาสูกล่าวว่า "เป็นเพราะข้าไม่ฟังคำของกงซิว[d] (公休) จึงตกอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ เป็นข้าที่สมควรถูกตำหนิ จะโทษเหล่าขุนพลได้อย่างไร"[9] จากนั้นจึงเลื่อนขั้นให้กับเหล่าขุนพลที่มีส่วนร่วมในยุทธการ แต่ลดขั้นสุมาเจียวโดยการถอดบรรดาศักดิ์ออก[10]
สืบทอดอำนาจจากสุมาสู
ในปี ค.ศ. 254 ระหว่างที่สุมาเจียวอยู่ที่นครหลวงลกเอี๋ยง เหล่าขุนนางที่ปรึกษาทูลเสนอกับจักรพรรดิโจฮองว่าให้จู่โจมและสังหารสุมาเจียวเพื่อชิงกำลังทหารมาและใช้กำลังทหารนั้นในการจัดการกับสุมาสู โจฮองทรงวิตกกังวลจึงไม่ได้ทำตามคำทูลเสนอ แต่แผนการรั่วไหลรู้ไปถึงสุมาสู สุมาเจียวจึงร่วมกับสุมาสูพี่ชายในการปลดจักรพรรดิโจฮองออกและตั้งโจมอขึ้่นเป็นจักรพรรดิแทน หลังการปลดจักรพรรดิ ขุนพลบู๊ขิวเขียมและบุนขิมก่อกบฏในปี ค.ศ. 255 และถูกสุมาสูปราบลงได้
อย่างไรก็ตาม สุมาสูกำลังป่วยเป็นโรคตาซึ่งมีอาการรุนแรงขึ้นหลังการทัพ สุมาสูเสียชีวิตหลายจากนั้นไม่ถึงหนึ่งเดือนในวันที่ 23 มีนาคม[11] เวลานั้นสุมาเจียวอยู่กับพี่ชายที่ฮูโต๋ จักรพรรดิโจมอวัย 14 พรรษาพยายามจะฟื้นฟูพระราชอำนาจคืนมา จึงออกพระราชโองการภายใต้เหตุที่ว่าสุมาสูเพิ่งปราบกบฏบู๊ขิวเขียมและบุนขิม และดินแดนทางตะวันออกเฉียงยังไม่สงบโดยสมบูรณ์ จึงมีรับสั่งให้สุมาเจียวยังคงอยู่ที่ฮูโต๋ และให้เปาต้านผู้ช่วยของสุมาสูกลับไปยังลกเอี๋ยงพร้อมกับทัพหลัก อย่างไรก็ตาม สุมาเจียวทำตามคำแนะนำของเปาต้านและจงโฮยกลับมายังลกเอี๋ยงอันเป็นการขัดพระราชโองการ[12] และยังสามารถกุมอำนาจราชสำนักไว้ได้[13] นับแต่นั้นมาสุมาเจียวก็ไม่ยอมปล่อยให้โจมอหรือกวยทายเฮาอยู่เหนือการควบคุม
ในฐานะผู้กุมอำนาจสูงสุด
การรวมอำนาจ
กบฏฉิวฉุนครั้งที่ 3
ในช่วงไม่กี่ปีถัดมา สุมาเจียวรวบอำนาจยิ่งขึ้น ทำให้จักรพรรดิโจมอและกวยทายเฮาเหลืออำนาจเพียงเล็กน้อย จากนั้นสุมาเจียวสร้างเรื่องในหลายโอกาสที่ถูกมองว่าเป็นการอาจเอื้อมคิดช่วงชิงราชบัลลังก์วุยก๊ก ในปี ค.ศ. 256 สุมาเจียวบังคับจักรพรรดิให้พระราชทานเอกสิทธิ์ในการสวมฉลองพระองค์ มงกุฎ และฉลองพระบาท จากนั้นสุมาเจียวจึงทดสอบความภักดีของเหล่าขุนพลโดยการให้เหล่าคนสนิทไปบอกใบ้ถึงเจตนาของตนให้เหล่าขุนพลทั่วแผ่นดินได้รับรู้ ในปี ค.ศ. 257 สุมาเจียวส่งกาอุ้นไปตรวจสอบเจตนาของจูกัดเอี๋ยน จูกัดเอี๋ยนตำหนิกาอุ้นอย่างรุนแรง[14] ทำให้สุมาเจียวมีคำสั่งเรียกตัวจูกัดเอี๋ยนกลับนครหลวงโดยอ้างว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้ จูกัดเอี๋ยนปฏิเสธคำสั่งและเริ่มต้นก่อกบฏ โดยยอมสวามิภักดิ์ต่อง่อก๊กเพื่อให้ช่วยคุ้มครอง[15] สุมาเจียวนำกำลังทหารรุดหน้าไปยังฐานที่มั่นของจูกัดเอี๋ยนที่ฉิวฉุนอย่างรวดเร็วและเข้าล้อมไว้ ในที่สุดก็ยึดฉิวฉุนได้ในปี ค.ศ. 258 หลังตัดโอกาสที่ง่อก๊กจะยกกำลังมาช่วย สุมาเจียวให้สังหารจูกัดเอี๋ยนและครอบครัว แต่สุมาเจียวก็ปฏิบัติอย่างเอื้อเฟื้อต่อผู้เกี่ยวข้องกับการกบฏหลายคน เช่นราษฎรทั่วไปและทหารง่อก๊กที่ถูกส่งมาเป็นกำลังเสริม แม้ว่าจะมีผู้แนะนำให้ลงโทษราษฎรและสังหารทหารทั้งหมดก็ตาม [16] ซึ่งสุมาเจียวได้โต้ตอบไปว่า "คนแต่โบราณใช้กำลังทหารเพื่อคุ้มครองรัฐเป็นดีที่สุด ดังนั้นสังหารเฉพาะผู้นำเสียก็เพียงพอแล้ว ควรให้ทหารได้หนีกลับไปเถิด พวกเขาจะได้รายงานถึงความยิ่งใหญ่ของรัฐภาคกลาง" ความเมตตากรุณานี้ทำให้ตระกูลสุมาถูกมองในเชิงบวกมากยิ่งขึ้นจากเหล่าราษฎร หลังการเสียชีวิตของจูกัดเอี๋ยน ก็ไม่มีใครกล้าต่อต้านสุมาเจียวอีกในช่วงอีกไม่กี่ปีต่อมา ในปี ค.ศ. 258 สุมาเจียวบังคับจักรพรรดิโจมอให้พระราชทานเครื่องยศเก้าประการ ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการของรัฐ และบรรดาศักดิ์ก๋งแห่งจิ้น (晉公 จิ้นกง) อันเป็นอีกขั้นที่ทำให้สุมาเจียวเข้าใกล้การช่วงชิงบัลลังก์ จากนั้นสุมาเจียวจึงปฏิเสธการรับเกียรติเหล่านี้ต่อหน้าสาธารณชนเก้าครั้ง[17]
การสวรรคตของจักรพรรดิโจมอและการควบคุมราชสำนักวุยก๊กอย่างเบ็ดเสร็จ
ราวเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 260 สุมาเจียวบีบบังคับจักรรพรดิโจมออีกครั้งให้ออกพระราชโองการพระราชทานเครื่องยศเก้าประการและการเลื่อนตำแหน่ง ซึ่งสุมาเจียวก็ปฏิเสธอีกครั้ง[18] ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้โจมอทรงกริ้วหนัก พระองค์จึงปรึกษากับขุนนางคนสนิทคืออองซิม อองเก๋ง และอองเหงียบ โจมอตรัสกับขุนนางทั้งสามว่าแม้พระองค์จะทรงตระหนักดีว่ามีโอกาสสำเร็จน้อย แต่พระองค์จะทรงก่อการแข็งข้อต่อสุมาเจียว[19] พระองค์พกพระแสงดาบ นำทหารราชองครักษ์ยกไปจวนของสุมาเจียว สุมาเตี้ยมน้องชายของสุมาเจียวพยายามจะต้านทาน แต่เมื่อข้าราชบริพารของโจมอตะโกนเสียงดัง กองกำลังของสุมาเตี้ยมก็แตกหนีไป จากนั้นกาอุ้นมาถึงและเข้าสกัดกองทหารราชองครักษ์ โจมอเข้าต่อสู้ด้วยพระองค์เอง กองกำลังของกาอุ้นไม่กล้าโจมตีจักรพรรดิก็แตกหนีไปเช่นกัน[20] นายทหารคนหนึ่งในบังคับบัญชาของกาอุ้นชื่อเซงเจ (成濟 เฉิง จี้) ถามกาอุ้นว่าควรทำอย่างไร กาอุ้นบอกให้ปกป้องอำนาจของตระกูลสุมาโดยไม่ต้องคิดถึงผลที่ตามมา เซงเจจึงใช้หอกปลงพระชนม์โจมอ[21] เหตุการณ์นี้สร้างความยุ่งยากให้สุมาเจียวอย่างมาก[22]
ภายหลังการสวรรคตของจักรพรรดิโจมอ สาธารณชนเรียกร้องให้ประหารชีวิตกาอุ้น แต่สิ่งที่สุมาเจียวกระทำเป็นอย่างแรกคือบังคับกวยทายเฮาให้ลดฐานะย้อนหลังให้โจมอลงมามีสถานะเป็นสามัญชน และมีคำสั่งให้ทำพิธีศพของโจมอเยี่ยงสามัญชน[23] สุมาเจียวยังให้ประหารชีวิตอองเก๋งและครอบครัว วัดถัดมาหลังสุมาเจียวถูกสุมาหูผู้เป็นอาวิงวอน สุมาเจียวจึงกลับให้กวยทายเฮามีรับสั่งให้เลื่อนขั้นโจมอกลับมาอยู่ในฐานะก๋ง (公 กง) และทำพิธีศพอย่างอ๋อง[24] จากนั้นสุมาเจียวจึงเชิญโจฮวนผู้เป็นฉางเต้าเซียงกง (常道鄉公) และเป็นหลานชายของโจโฉให้มายังนครหลวงเพื่อตั้งให้เป็นจักรพรรดิ ในเวลานี้กวยทายเฮาไร้อำนาจที่จะตรัสประการใดต่อไปได้[25] ท่ามกลางเหตุการณ์เหล่านี้ สุมาเจียวยังคงปฏิเสธกับรับเครื่องยศเก้าประการและการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการของรัฐและบรรดาศักดิ์ก๋งแห่งจิ้น[26] หลายวันต่อมา สุมาเจียวกล่าวโทษเซงเจและน้องชายในข้อหากบฏ และสั่งให้ประหารชีวิตเซงเจและครอบครัวเพื่อบรรเทาความโกรธของสาธารณชน ในขณะที่ไว้ชีวิตกาอุ้น[27] ไม่มีใครกล้าก่อการต่อต้านสุมาเจียวแม้หลังการสวรรคตของจักรพรรดิโจมอ เนื่องจากเวลานั้นสุมาเจียวกลายเป็นผู้กุมอำนาจราชสำนักอย่างแท้จริงแล้ว ในวันที่ 27 มิถุนายน โจฮอวนเข้านครลกเอี๋ยงและขึ้นเป็นจักรพรรดิ[28] สองวันต่อมา สุมาเจียวบังคับจักรพรรดิโจฮวนพระราชทานเครื่องยศเก้าประการและการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการของรัฐกับบรรดาศักดิ์ก๋งแห่งจิ้น ซึ่งสุมาเจียวก็ยังคงปฏิเสธอยู่[29] เช่นเดียวกับเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันนี้ในเดือนตุลาคม[30][31]
การพิชิตจ๊กก๊ก
ในปี ค.ศ. 262 เนื่องด้วยเกียงอุยเข้าโจมตีชายแดนมาอย่างต่อเนื่อง สุมาเจียวจึงคิดจะจ้างมือสังหารไปลอบสังหารเกียงอุย แต่แผนนี้ถูกคัดค้านโดยซุนโจยที่ปรึกษา[32] ด้านจงโฮยเชื่อว่าเกียงอุยสูญเสียกำลังทหารไปมากแล้ว จึงเป็นเวลาเหมาะที่จะทำลายจ๊กก๊กในครั้งเดียว[33] สุมาเจียวจึงตั้งจงโฮย จูกัดสู และเตงงายให้คุมทัพบุกจ๊กก๊ก (แม้ว่าเตงงายจะคัดค้านการทัพในตอนแรกก็ตาม) ทั้งหมดเคลื่อนทัพในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 263[34]
จงโฮย จูกัดสู และเตงงายเผชิญหน้ากับการรบต้านเล็กน้อยจากทัพจ๊กก๊ก ซึ่งฝ่ายจ๊ํกก๊กมีกลยุทธ์จะดึงทัพวุยก๊กเข้ามาแล้วเข้าปิดล้อมโจมตี แต่ผลกลับตรงกันข้ามเพราะทัพวุยก๊กเคลื่อนพลได้รวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยยกผ่านเมืองชายแดนของจ๊กก๊กตรงไปยังจุดยุทธศาสตร์สำคัญคือด่านแฮเบงก๋วน (陽安關 หยางอานกวาน; ปัจจุบันอยู่ในเมืองฮั่นจง มณฑลฉ่านซี) และเข้ายึดไว้ ในที่สุดจูกัดสูก็ถูกปลดออกจากการคุมทัพและถูกส่งกลับในฐานะนักโทษ เตงงายต้องการควบรวมกำลังทหารของตนเข้ากับของจูกัดสูจึงเข้าพบจงโฮย ฝ่ายจงโฮยต้องการถือสิทธิ์ขาดทางการทหาร จึงส่งคำประกาศที่กล่าวถึงความขี้ขลาดของจูกัดสู ภายหลังกำลังทหารของจูกัดสูจึงควบรวมกับกองกำลังของจงโฮย[35] ด้านเกียงอุยสามารถรวบรวมกำลังขึ้นใหม่และสกัดทัพวุยก๊กไม่ให้รุกคืบได้[36] กระทั่งเตงงายนำกองกำลังเคลื่อนผ่านด่านภูเขาคับขันไปจนถึงอิวกั๋ง เอาชนะจูกัดเจี๋ยม[37] และมุ่งตรงไปยังเซงโต๋นครหลวงของจ๊กก๊ก เล่าเสี้ยนจักรพรรดิจ๊กก๊กประหลาดพระทัยกับการรุดหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็วของเตงงาย และทรงเชื่อว่าเกียงอุยจะไม่สามารถกลับมาเร็วพอที่จะป้องกันนครหลวงจากเตงงาย เล่าเสี้ยนจึงยอมจำนนต่อวุยก๊ก[38] ก่อนหน้านี้ในปีเดียวกัน ในฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 263 สุมาเจียวปฏิเสธเครื่องยศเก้าประการและการเลื่อนตำแหน่งอีกครั้ง[39] แต่ในช่วงการทัพ เมื่อคำนึงความสำเร็จล่าสุดนี้แล้ว ในวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 263 จักรพรรดิโจฮวนตั้งให้สุมาเจียวเป็นก๋งแห่งจิ้น พระราชทานเครื่องยศเก้าประการและตำแหน่งผู้สำเร็จราชการของรัฐ และสุมาเจียวก็ยอมรับในที่สุด[40]
กบฏจงโฮย
อย่างไรก็ตาม ความวุ่นวายอีกครั้งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการล่มสลายของจ๊กก๊ก เตงงายภูมิใจในความสำเร็จของตนและส่งหนังสือถึงสุมาเจียวที่มีเนื้อความแสดงออกซึ่งความหยิ่งทรนง ทำให้สุมาเจียวเกิดความระแวง ฝ่ายจงโฮยก็มีแผนจะก่อกบฏจึงปลอมแปลงจดหมายเพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสุมาเจียวและเตงงายจนเกินกว่าจะกู้คืน[41] สุมาเจียวจึงมีคำสั่งให้จงโฮยจับตัวเตงงาย แม้ว่าตัวสุมาเจียวก็ระแวงจงโฮยเช่นกัน แต่กระนั้นสุมาเจียวก็นำทัพของตนเองไปประจำอยู่ที่เตียงฮัน[42] จงโฮยยึดกองกำลังของเตงงายควบรวมเข้ากับกองกำลังของตน จากนั้นด้วยการยุยงของเกียงอุยที่เป็นผู้ช่วย (แต่เจตนาที่แท้จริงของเกียงอุคือการสังหารจงโฮยและกอบกู้จ๊กก๊กในท้ายที่สุด)[43] จงโฮยจึงก่อการกบฏในปี ค.ศ. 264[44] แต่กองกำลังของตัวจงโฮยกลับหันมาต่อต้านจงโฮย และสังหารทั้งจงโฮยและเกียงอุย[45] สุมาเจียวนิรโทษกรรมให้กับทุกคนในจ๊กก๊ก
เสียชีวิต
หลังกบฏจงโฮยถูกปราบ สุมาเจียวได้รับฐานันดรศักดิ์เป็นจีนอ๋องหรืออ๋องแห่งจิ้น (晉王 จิ้นหวาง) ในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 264[46] อันเป็นก้าวสุดท้ายสู่การช่วงชิงบัลลังก์ สุมาเจียวตั้งเป้าหมายที่จะแก้ไขกฎหมายและระบบราชการให้สอดคล้องกับอาณาจักรที่สุมาเจียวต้องการให้อยากให้เป็น เช่น การฟื้นฟูตำแหน่งศักดินาห้าตำแหน่งในราชวงศ์โจว[47] (ระบบที่เลิกใช้ไปตั้งแต่ถูกยกเลิกโดยราชวงศ์ฉิน) และยังมอบสมัญญานามย้อนหลังให้สุมาอี้ผู้บิดาและสุมาสูผู้พี่ชายให้เป็นจักรพรรดิจิ้นเซฺวียนตี้ (晉宣帝) และจิ้นจิ่งตี้ (晉景王) ตามลำดับ[48] สุมาเจียวยังทำข้อตกลงสงบศึกกับง่อก๊ก[49] เพื่อป้องกันการแทรกแซงในแผนการชิงบัลลังก์ของสุมาเจียว[50]
ต่อมาในปีเดียวกัน สุมาเจียวพิจารณาว่าจะตั้งให้ใครเป็นทายาท สุมาเจียวคิดจะตั้งสุมาฮิวบุตรชายคนเล็กผู้มีความสามารถ ซึ่งสุมาสูรับไปเป็นบุตรบุญธรรมเพราะสุมาสูไม่มีบุตรชายเป็นของตนเอง ภายใต้เหตุผลที่ว่าสุมาสูมีความสำเร็จอย่างสูงในการสืบทอดและรักษาอำนาจของตระกูลสุมา การสืบทอดอำนาจก็ควรกลับไปหาสุมาฮิวผู้บุตรชาย แต่ที่ปรึกษาส่วนใหญ่เสนอให้ตั้งสุมาเอี๋ยนบุตรชายคนโตของสุมาเจียวแทน ในที่สุดสุมาเจียวจึงตัดสินใจตั้งให้สุมาเจียวเป็นทายาท[51]
ในวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 265 สุมาเจียวเสียชีวิต[52] ก่อนที่จะได้ช่วงชิงบัลลังก์ แม้ว่าจะได้รับการทำพิธีศพด้วยเกียรติอย่างจักรพรรดิในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 265 ในอีก 5 เดือนต่อมา สุมาเอี๋ยนซึ่งสืบทอดอำนาจจากบิดา[53] บังคับโจฮวนจักรพรรดิวุยก๊กให้สละราชบัลลังก์ให้กับตน เป็นการสิ้นสุดของวุยก๊กและเป็นการสถาปนาราชวงศ์จิ้น ภายหลังสุมาเอี๋ยนพระราชทานสมัญญานามให้สุมาเจียวผู้เป็นพระบิดาเป็นจักรพรรดิจิ้นเหวินตี้ (晉文帝)
ครอบครัว
ภรรยาและบุตรธิดา:
- จักรพรรดินีเหวินหมิง แห่งตระกูลหวางหรืออองแห่งตองไฮ (文明皇后 東海王氏 เหวินหมิงหฺวางโฮ่ว ตงไห่หวางชื่อ; ค.ศ. 217–268) ชื่อตัว ยฺเหวียนจี (元姬)
- เจ้าหญิงจิงเจ้า (京兆公主 จิงเจ้ากงจู่)
- แต่งงานกับเจิน เต๋อ แห่งเสเป๋ง (西平 甄德 ซีผิง เจิน เต๋อ) และมีบุตรชายหนึ่งคน
- สุมาเอี๋ยน จักรพรรดิอู่ (武皇帝 司馬炎 อู่หฺวางตี้ ซือหม่า เยียน; ค.ศ. 236–290) บุตรชายคนแรก
- สุมาฮิว อ๋องแห่งฉีเซี่ยน (齊獻王 司馬攸 ฉีเซี่ยนหวาง ซือหม่า โยว; 248–283) บุตรชายคนที่ 2
- ซือหม่า เจ้า อ๋องอายแห่งเฉิงหยาง (城陽哀王 司馬兆 เฉิงหยางอายหวาง ซือหม่า เจ้า) บุตรชายคนที่ 3
- ซือหม่า ติ้งกั๋ว อ๋องเต้าฮุ่ยแห่งเลียวตั๋ง (遼東悼惠王 司馬定國 เหลียวตงเต้าฮุ่ยหวาง ซือหม่า ติ้งกั๋ว) บุตรชายคนที่ 4
- ซือหมา กว่างเต๋อ อ๋องชางแห่งก๋งฮาน (廣漢殤王 司馬廣德 กว่างฮั่นชางหวาง ซือหม่า กว่างเต๋อ) บุตรชายคนที่ 5
- เจ้าหญิงจิงเจ้า (京兆公主 จิงเจ้ากงจู่)
- ซิวหฺวา แห่งตระกูลหลี่หรือลิ (修華 李氏 ซิวหฺวา หลี่ชื่อ) ชื่อตัว เหยี่ยน (琰)
- ซิวหรง แห่งตระกูลหวางหรืออง (修容 王氏 ซิวหรง หวางชื่อ) ชื่อตัว เซฺวียน (宣)
- ซิวอี๋ แห่งตระกูลสฺวีหรือซิ (修儀 徐氏 ซิวอี๋ สฺวีชื่อ) ชื่อตัว เหยี่ยน (琰)
- เจี๋ยยฺหวี แห่งตระกูลอู๋หรืองอ (婕妤 吳氏 เจี๋ยยฺหวี อู๋ชื่อ) ชื่อตัว ชู (淑)
- ชงหฺวา แห่งตระกูลเจ้าหรือเตียว (充華 趙氏 ชงหฺวา เจ้าชื่อ) ชื่อตัว ถิ่ง (珽)
- ภรรยาไม่ทราบชื่อ
- ซือหม่า เจี้ยน อ๋องผิงแห่งเล่ออาน (樂安平王 司馬鑒 เล่ออานผิงหวาง ซือหม่า เจี้ยน; เสียชีวิต 297) บุตรชายคนที่ 6
- ซือหม่า จี อ๋องแห่่งเอียน (燕王 司馬機 เยียนหวาง ซือหม่า จี) บุตรชายคนที่ 7
- ซือหม่า หย่งจั้ว (司馬永祚) บุตรชายคนที่ 8
- ซือหม่า เหยียนจั้ว อ๋องแห่งเล่อผิง (樂平王 司馬延祚 เล่อผิงหวาง ซือหม่า เหยียนจั้ว) บุตรชายคนที่ 9
- เจ้าหญิงฉางชาน แต่งงานกับหวาง จี้ (王濟)
บรรพบุรุษ
ซือหม่า เลี่ยง | |||||||||||||||||||
ซือหม่า จฺวิ้น (ค.ศ. 113–197) | |||||||||||||||||||
สุมาหอง (ค.ศ. 149–219) | |||||||||||||||||||
สุมาอี้ (ค.ศ. 179–251) | |||||||||||||||||||
สุมาเจียว (ค.ศ. 211–265) | |||||||||||||||||||
จาง วาง | |||||||||||||||||||
จาง ชุนหฺวา (ค.ศ. 189–247) | |||||||||||||||||||
ชานชื่อแห่งโห้ลาย | |||||||||||||||||||
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
อ้างอิง
บรรณานุกรม
- ตันซิ่ว (ศตวรรษที่ 3). จดหมายเหตุสามก๊ก (ซานกั๋วจื้อ).
- เผย์ ซงจือ (ศตวรรษที่ 5). อรรถาธิบายจดหมายเหตุสามก๊ก (ซานกั๋วจื้อจู้).
- ฝาน เสฺวียนหลิง (648). พงศาวดารราชวงศ์จิ้น (จิ้นชู).
- ซือหม่า กวาง (1084). จือจื้อทงเจี้ยน.
- de Crespigny, Rafe (2007). A Biographical Dictionary of Later Han to the Three Kingdoms 23-220 AD. Leiden: Brill. ISBN 9789004156050.