ซากเรืออับปางของเรืออาร์เอ็มเอส ไททานิก
ซากเรืออัปปางของเรืออาร์เอ็มเอส ไททานิก พบอยู่ในระดับความลึกประมาณ 12,500 ฟุต (3.8 กิโลเมตร; 2.37 ไมล์) ตรงทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ห่างไปประมาณ 370 ไมล์ (600 กิโลเมตร) ณ ที่นั้น พบชิ้นส่วนซากเรือสองจุดหลัก ห่างกันประมาณ 3 ไมล์ (600 เมตร) ส่วนของบริเวณหัวเรือและภายในยังคงสภาพสมบูรณ์ แม้จะมีการเสื่อมสภาพตามเวลา และความเสียหายจากการกระทบกับพื้นทะเล ในทางตรงกับข้ามกับท้ายเรือที่ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ พื้นที่โดยรอบพบสิ่งของนับแสนชิ้นกระจัดกระจายอยู่ภายในบริเวณพื้นที่ ซึ่งหล่นลงมาขณะเรือกำลังอัปปาง ร่างของผู้โดยสารและลูกเรือพบในบริเวณรอบพื้นที่ ต่อมา ถูกสิ่งมีชีวิตใกล้เคียงย่อยสลายจนหมด
ซากเรืออัปปางของเรืออาร์เอ็มเอส ไททานิก | |
---|---|
![]() ซากหัวเรือไททานิก ถ่ายภาพเมื่อปี ค.ศ. 2004 | |
เหตุการณ์ | การอับปางของเรืออาร์เอ็มเอส ไททานิก |
สาเหตุ | เรือชนภูเขาน้ำแข็ง |
วันที่ | 15 เมษายน 1912 |
สถานที่พบ | 370 ไมล์ (600 กิโลเมตร) ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์, มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ |
พิกัดภูมิศาสตร์ | 41°43′32″N 49°56′49″W / 41.72556°N 49.94694°W |
พบซาก | 1 กันยายน 1985 |
ไททานิกอัปปางลงในปี ค.ศ. 1912 เมื่อเรือได้ชนกับภูเขาน้ำแข็งในระหว่างการเดินเรือครั้งแรกของไททานิก มีความพยายามหลายครั้งที่จะค้นหาซากของเรือโดยวิธีทำแผนที่ด้วยระบบโซนาร์ในการระบุตำแหน่ง แต่ไม่สำเร็จผล ในปี ค.ศ. 1985 ซากของเรือได้ถูกระบุพิกัดโดยสมบูรณ์ อันเป็นความร่วมมือจากการสำรวจระหว่างสหรัฐและประเทศฝรั่งเศส นำโดย ฌ็อง-หลุยส์ มิเชลแห่งไอเอฟอาร์อีเอ็มอีอาร์ และโรเบิร์ต บัลลารด์แห่งสถาบันสมุทรศาสตร์วูดสโฮล ซากของเรือเป็นที่น่าสนใจ ส่งผลให้มีการสำรวจเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงการสำรวจในปี ค.ศ. 2023 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย การกู้ของรอบบริเวณซาก พบมีของมากถึงหนึ่งพันกว่าชิ้น โดยทั้งหมดถูกนำมาแสดงต่อสาธารณชน แม้ว่าจะมีการถกเถียงถึงการกู้สิ่งของ
มีการเสนอแผนปฏิบัติการในการกู้ซากเรือไททานิกมากมาย อาทิ การใช้ลูกปิงปองในการถมซากโดยใส่วาสลีนกว่า 180,000 ตันลงไปในนั้น หรือการใช้ไนโตรเจนเหลวห่อหุ้มกว่าครึ่งล้านตัน เพื่อให้ซากลอยขึ้นมาเสมือนภูเขาน้ำแข็ง อย่างไรก็ตาม ซากของเรือนั้นเปราะบางเกินกว่าที่จะสามารถนำขึ้นมาได้ และซากนี้ถูกคุ้มครองโดยยูเนสโก
กู้ซากเรือไททานิก
หลังจากที่เรืออาร์เอ็มเอส ไททานิก อัปปางลงเมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1912 ได้ไม่นานนัก มีการเตรียมการปฏิบัติงานกู้ซากของเรือภายในอาณาเขตของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ แม้จะไม่ทราบพิกัดและสถานที่ที่แน่นอน ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ – ครอบครัวกุกเกนไฮม์, ครอบครัวแอสเตอร์ส และครอบครัวไวด์เนอร์ส – ได้ก่อตั้งกิจการค้าร่วมกับบริษัทเมอริฟแอนด์แชฟแมนเดอร์ริคแอนด์เวกกิง เพื่อดำเนินการกู้ซากของเรือ ไททานิก[1] โครงการล้มเหลวไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยเหตุว่านักดำน้ำไม่สามารถดำน้ำลงส่วนที่ลึกของมหาสมุทรซึ่งมีความดันมากถึงกว่า 60,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (410 บาร์) ทรัพยากรเรือดำน้ำไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ประกอบกับระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โครงการนี้จึงล่าช้า[2] บริษัทพิเคราะห์ว่าจะหย่อนระเบิดตรงบริเวณของซากเรือเพื่อให้แรงดันซากศพขึ้นมาผิวน้ำ แต่นักสมุทรศาสตร์แย้งว่า การกระทำแบบนี้อาจทำให้ซากศพถูกแรงดันจนเป็นก้อนวุ้น[3] ในความเป็นจริง ข้อความไม่ถูกต้อง ไม่มีการค้นพบปรากฏการณ์ตกปลาวาฬตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987—ในการสำรวจหาซากเรือ ไททานิก โดยเรือดำน้ำกลับพบเจอภายในก่อนปีในการสำรวจครั้งแรก[4]—แสดงให้เห็นถึงซากศพภายในใต้น้ำ เช่นเดียวกับวาฬและโลมาที่จมน้ำลงไปสู่ก้นมหาสมุทร[5] ด้วยสภาวะแรงดันสูงและอุณหภูมิต่ำของน้ำ จึงทำให้ช่วยซับแรงของแก๊สในระหว่างกระบวนการการย่อยสลายของผู้เสียชีวิตเหตุเรือ ไททานิก ส่งผลให้ร่างกายผู้เสียชีวิตไม่ขึ้นมาสู่เหนือผิวน้ำ[6]
ในหลายปีต่อมา มีการพยายามอย่างมากมายที่จะกู้ซากเรือ ไททานิก อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดทางด้านทรัพยากรและเทคโนโลยีไม่ทันสมัย ทำให้ต้องปฏิบัติการอย่างยากลำบาก ประกอบกับการขาดงบประมาณ และขาดความเข้าใจกับสภาพกายภาพบริเวณพื้นที่อัปปางของเรือ ชาร์เลต สมิท สถาปนิกจากเมืองเดนเวอร์, สหรัฐ นำเสนอแผนปฏิบัติในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1914 ว่าใช้วิธีติดแม่เหล็กไฟฟ้ากับเรือดำน้ำในการระบุตำแหน่ง เพื่อให้เกิดแรงดึงดูดระหว่างแม่เหล็กไฟฟ้ากับซากเหล็กของเรือ เมื่อสามารถระบุพิกัดได้แล้ว จึงส่งสัญญาณไปยังกองเรือบรรทุกสินค้าเพื่อนำซากเรือ ไททานิก ขึ้นมาเหนือผิวน้ำมหาสมุทร[7] มีการตีงบประมาณไว้ที่ 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (35 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน) แนวคิดนี้เป็นไปไม่ได้ จึงไม่ได้นำมาใช้ในการกู้ซากของเรือ อย่างไรก็ดี มีแนวดิดมากมายสำหรับการปฏิบัตการกู้ซากเรือ ไททานิก อาทิ การใช้ลูกโป่งนำเข้าไปยังซากของเรืออาศัยแม่เหล็กไฟฟ้า โดยเมื่อลูกโป่งมีจำนวนมาก ส่งผลให้ดันซากเรือมาเหนือยังผิวน้ำ แต่แล้วแนวคิดนี้ก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้จริง[8]
ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970
ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1960 คนงานขายเครื่องถุงเท้า และเสื้อกับกางเกงชั้นในจากเมืองโบลด็อค, ประเทศอังกฤษ ชื่อว่า ดักลาส วูเรย์ มีแผนปฏิบัติในการหาพิกัดของซากเรือ ไททานิก โดยใช้วิธียานสำรวจน้ำลึก และกู้ซากของเรือโดยลูกโป่งไนลอนซึ่งจะนำไปใส่ภายในซากของเรือ[9] จุดประสงค์ของแนปฏิบัติในครั้งนี้คือ "ต้องการนำซากไปยังเมืองลิเวอร์พูล เพื่อจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำ"[10] บริษัทไททานิกเซอร์เวจก่อตั้งขึ้นเพื่อรวบรวมนักธุรกิจจากเบอร์ลินตะวันตกซึ่งเรียนกันว่า ไททานิก-ทรีเซอร์ เพื่อสนับสนุนการเงินในการปฏิบัติการกู้ซากของเรือ[9] อย่างไรก็ดี โครงการล้มเหลวเนื่องด้วยผู้ร่วมลงทุนพบว่าการใช้ลูกโป่งทำให้ซากเรือลอยขึ้นทำไม่ได้ เมื่อคำนวณแล้วอาจจะต้องใช้ถึงเวลาถึงสิบปีในการสร้างแก๊ส[11]
ในช่วงระหว่างนี้มีหลากหลายแนวคิดสำหรับกู้เรือแต่มีความพยายามกู้เรือด้วยวิถีใหม่ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 หนึ่งในข้อเสนอใช้วิธีบรรจุขี้ผึ้งเหลว (หรือรู้จักกันว่า วาสลีน) จำนวน 180,000 ตันภายในของเรือไททานิก เพื่อให้ดันซากเรือขึ้นมาผิวน้ำ[12] และข้อเสนอในการกู้ซากเรือ ไททานิก โดยใช้ลูกปิงปอง แต่เมื่อนึกถึงสภาพแวดล้อมความเป็นจริงแล้ว ลูกปิงปองจะถูกแรงกดดันของน้ำทำให้ไม่สามารถนำไปบรรจุที่ความลึกของซากเรือได้[13] แนวคิดที่คล้ายคลึงกัน เพียงเปลี่ยนเป็นกระจกแก้วทรงกลมเบนทอส จะทำให้แรงกดดันของน้ำไม่สามารถกระทำต่อวัตถุได้ มีการตีงบประมาณในการจัดทำแก้วทรงกลมนี้กว่า 238 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[12] ผู้รับเหมารับจ้างลำเลียงของจากเมืองวอลสอร์ ชื่อว่า อัลทรูน ฮิกกรี ได้เสนอให้เปลี่ยนซากเรือ ไททานิก ให้เป็นภูเขาน้ำแข็ง โดยกระทำแช่แข็งน้ำบริเวณโดยรอบซากของเรือแล้วจึงห่อหุ้มแล้วนำขึ้นมาเหนือผิวมหาสมุทร ซึ่งจะต้องมีน้ำหนักเบากว่าน้ำ ต่อมาจึงลากเข้าสู้ฝั่ง เดอะบีโอซีกรุ๊ปคำนวณว่า จะต้องใช้ไนโตรเจนเหลวกว่าครึ่งล้านตันลงไปยังซากของเรือ[14] ในปี ค.ศ. 1976 ภาพยนตร์ระทึกขวัญ เรส เดอะ ไททานิก! กำกับโดยครีฟ ครุยเซอร์ เนื้อเรื่องคือฮีโร่ เดิรก์ พิตต์ ได้อุดรูรั่วเรือไททานิก แล้วได้ปั้มอากาศส่งผลให้ "ลอยขึ้นมาเป็นคลื่นเหมือกับทิ้งอับเฉาเรือดำน้ำ" ฉากนี้ปรากฏใบปิดภาพยนตร์ แม้ว่าจะเป็นเพียง "ภาพศิลปะปลุกกระตุ้น" ของจุดเด่นภาพยนตร์[15] ภาพยนตร์ได้สร้างแบบจำลองของเรือไททานิก ขนาด 55 ฟุต (17 เมตร) ในความเป็นจริง ไม่สามารถกู้เรือได้ในทางกายภาพ[16]
โรเบิร์ต บัลลารต์แห่งสถาบันสมุทรศาสตร์วูดสโฮล มีความสนใจในการค้นหาเรือ ไททานิก แม้จะมีการอภิปรายในช่วงต้นกับผู้สนับสนุน เมื่อปรากฏว่าผู้สนับสนุนต้องการเปลี่ยนซากเรือให้เป็นชิ้นส่วนกระดาษเพื่อเป็นของที่ระลึก แต่ผู้สนับสนุนยังคงเข้าร่วมกับบัลลารต์เพื่อก่อตั้งบริษัทซีซอนิกส์ อินเตอร์แนชันแนล จำกัด (Seasonics International Ltd.) เพื่อสร้างพาหนะในการค้นหาและสำรวจเรือ ไททานิค อีกครั้ง ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1977 เขาได้พยายามค้นหาเรือลำนี้เป็นครั้งแรกด้วยเรือกอบกู้ใต้ท้องทะเลลึก ซีพร็อบ (Seaprobe) ของเอคโคคอปปอเรชัน นี่คือเรือขุดเจาะที่มีอุปกรณ์โซนาร์และกล้องติดอยู่ที่ปลายท่อเจาะ สามารถยกของขึ้นจากก้นทะเลได้โดยใช้กรงเล็บกลที่ควบคุมจากระยะไกล[17] ปฏิบัติการสำรวจจบลงด้วยความล้มเหลวเมื่อท่อขุดเจาะแตก ส่งผลให้ท่อขุดเจาะ 3,000 ฟุต (900 เมตร) และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มูลค่า 600,000 ดอลลาร์สหรัฐ (เทียบกับมูลค่า 2,683,031 ดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2021) ดิ่งจมสู่ก้นทะเล[17]
ในปี ค.ศ. 1978 บริษัทวอลต์ดิสนีย์และนิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟิก ได้พิจารณาให้มีการบูรณาการร่วมกันเพื่อค้นหาเรือ ไททานิค โดยใช้ปั๊มอะลูมิเนียมใต้น้ำ อะลูมินอลต์ เรือ ไททานิคน่าจะอยู่ในขอบเขตความลึกของปั๊มอะลูมิเนียม แต่แผนดังกล่าวถูกยกเลิกด้วยเหตุผลทางการเงิน[9]
ในปีต่อมา มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ เซอร์ เจมส์ โกลด์สมิธ ได้ก่อตั้งบริษัทซีไวร์ & ไททานิคซัลเวจ จำกัด โดยมีผู้เชี่ยวชาญการดำน้ำและช่างภาพร่วมงาน นำมาประชาสัมพันธ์การกู้เรือ ไททานิค เพื่อส่งเสริมนิตยสารของเขาที่ตีพิมพ์ขึ้นมาใหม่ ชื่อว่า นาว! โดยมีโครงการเดินทางสู่แอตแลนติกเหนือในปี ค.ศ. 1980 แต่โครงการถูกยกเลิกโดยปัญหาด้านการเงิน[9] ปีต่อมานิตยสาร นาว! ได้ยุติกิจการด้วยพบปัญหา 84 จุดส่งผลให้เกิดสภาวะสูญเสียการเงินเป็นจำนวนมาก[18]
บรรณานุกรม
อ้างอิง
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
- Ballard, Robert D. (December 1985). "How We Found Titanic". National Geographic. Vol. 168 no. 6. pp. 696–719.
- Ballard, Robert D. (December 1986). "A Long Last Look at Titanic". National Geographic. Vol. 170 no. 6. pp. 698–727.
- Ballard, Robert D. (October 1987). "Epilogue for Titanic". National Geographic. Vol. 172 no. 4. pp. 454–463.
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ Titanic wreck