จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไฮยีนาช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: 22–0Ma สมัยไมโอซีนตอนต้น – ปัจจุบัน ไฮยีนา 4 สายพันธุ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ตามเข็มนาฬิกาจากบนซ้าย: ไฮยีนาลายจุด (Crocuta crocuta ), ไฮยีนาน้ำตาล (Parahyaena brunnea ), aardwolf (Proteles cristata ) และไฮยีนาลายแถบ (Hyaena hyaena ) การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ โดเมน: ยูแคริโอต อาณาจักร: สัตว์ ไฟลัม: สัตว์มีแกนสันหลัง ชั้น: สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับ: อันดับสัตว์กินเนื้อ อันดับย่อย: เฟลิฟอเมีย อันดับฐาน: Viverroidea วงศ์: Hyaenidae Gray, 1821 สกุลต้นแบบ Hyaena Brisson, 1762 สกุล Crocuta (สีมะกอกออลิฟซ้อนทับบนแผนที่)Hyaena (สีน้ำเงินบนปผนที่ รวม Parahyaena )Parahyaena Proteles (สีม่วงแดงบนแผนที่)Adcrocuta †Allohyaena †Belbus †Chasmaporthetes †Herpestides †Hyaenictis †Hyaenotherium †Ictitherium †Ikelohyaena †Leecyaena †Lycyaena †Metahyaena †Miohyaenotherium †Palinhyaena †Pachycrocuta †Pliocrocuta †Plioviverrops †Protictitherium †Thalassictis †Tongxinictis †Tungurictis †Werdelinus †ชื่อพ้อง
ไฮยีนา (อังกฤษ : hyena ; มาจากคำภาษากรีกโบราณ ว่า ὕαινα , hýaina ออกเสียงว่า /ฮือไอนา/ หรือ /ฮือแอนา/)[1] เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กินเนื้อวงศ์ หนึ่ง โดยใช้ชื่อวงศ์ว่า Hyaenidae พร้อมกับ 4 สายพันธุ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ (แต่ละชนิดมีสกุล ของตนเอง) ไฮยีนาเป็นวงศ์ที่เล็กอันดับ 5 ในอันดับสัตว์กินเนื้อ และเป็นหนึ่งในชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่เล็กที่สุด[2] ถึงแม้ว่าจะมีความหลากหลายน้อย ไฮรนาเป็นสัตว์ที่เป็นเอกลักษณ์และสำคัญในระบบนิเวศแอฟริกา ส่วนใหญ่[3]
ไฮยีนา มีลักษณะและรูปร่างโดยรวมคล้ายกับสุนัข หรือหมาป่า ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อที่อยู่ในวงศ์ Canidae แต่ไฮยีนาก็ไม่ใช่สุนัข หากแต่เป็นสัตว์ที่อยู่ในวงศ์ของตนเองต่างหาก โดยอยู่ในอันดับย่อย Feliformia ซึ่งใกล้ชิดกับวงศ์เสือและแมว และวงศ์ชะมดและอีเห็น มากกว่า
ลักษณะและพฤติกรรม ไฮยีนาสามารถแบ่งได้เป็น 25 สกุล (ดูในตาราง)[4] หลาย ชนิด แต่ปัจจุบัน เหลือแค่ 4 ชนิด 3 สกุล กระจายพันธุ์ทั่วไปในทวีปแอฟริกา และบางส่วนในภูมิภาคอาหรับ และอินเดีย ไฮยีนามีลักษณะรูปร่างคล้ายกับสุนัข มีขนหยาบหนาสีน้ำตาล แกมเทา มีลายและจุดแตกต่างกันตามแต่ละชนิด และมีหางยาวราว 18 นิ้ว ไหล่และหัวมีส่วนกว้าง ไหล่สูงกว่าขาหลังมาก และมีกรามที่แข็งแกร่งและแข็งแรงมาก ทำให้เป็นสัตว์จำพวกหนึ่งที่มีแรงกัดรุนแรงมาก
ไฮยีนามักจะรวมตัวกันออกหาเหยื่อโดยมีตัวเมียเป็นจ่าฝูง ไฮยีนาตัวเมียนั้นจะมีอวัยวะเพศที่ขยายใหญ่ได้จนมีขนาดเท่ากับอวัยวะเพศของตัวผู้ ตัวใดที่มีลักษณะอวัยวะเพศคล้ายเพศผู้ จะสามารถเข้ากลุ่มตัวเมียได้ดี ไฮยีนาตัวเมียที่ไม่มีอวัยวะเพศผู้จะถูกขับออกจากกลุ่มตัวเมีย และไม่สามารถใช้ประโยชน์จากการมีกลุ่มได้ ไฮยีนาสามารถวิ่งได้เร็วถึง 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นิสัยค่อนข้างดุ ไฮยีนาตัวเมียจะมีรูปร่างที่ใหญ่กว่าตัวผู้ เนื่องจากจะเป็นฝ่ายดูแลลูก เพราะตัวผู้จะทำอันตรายและกินลูกไฮยีนาที่เกิดใหม่เป็นอาหารได้
ไฮยีนาออกหากินในเวลากลางคืน ตอนกลางวัน จะนอนหลับพักผ่อนในโพรงหรือซอกหิน จะคลอดลูกและเลี้ยงดูลูกในโพรง โดยออกลูกครั้งละประมาณ 1-2 ตัว บางครั้งอาจได้ถึง 4 ตัว โดยลูกอ่อนจะยังลืมตาและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
ในวัฒนธรรมและความสัมพันธ์กับมนุษย์ แม้ไฮยีนาจะมีขนาดและรูปร่างที่เล็กกว่าสิงโต แต่จะเป็นสัตว์ที่สิงโตมักจะแพ้เมื่อล่าเหยื่อได้แล้ว ไฮยีนาเข้ามาก่อกวนเพื่อที่จะแย่งซากสัตว์ที่ล่าได้ จนสิงโตเป็นฝ่ายล่าถอยไป จนมีความเชื่อ กันว่า ไฮยีนาเป็นสัตว์ขี้ขลาด แต่ไฮยีนาก็มีพฤติกรรมล่าเหยื่อได้เอง และบางครั้งก็คุกคามสัตว์เลี้ยง ต่าง ๆ ของมนุษย์ ด้วย อาทิ วัว ควาย แพะ หรือแกะ และบางครั้งก็อาจโจมตีมนุษย์ได้เช่นกันมีตำนานคล้ายมนุษย์หมาป่า คือมนุษย์ไฮยีนา (Werehyena)
ไฮยีนา เป็นสัตว์ที่กินไม่เลือก แม้แต่กระดูก ก็กินได้ รวมทั้งซากศพ ด้วย อีกทั้งยังมีความเชื่อว่า ไฮยีนาเป็นสัตว์เจ้าเล่ห์ เมื่อถูกหมาป่ารุมทำร้าย ไฮยีนามักจะทำเป็นแกล้งตายเพื่อหลอกหมาป่า ทันทีที่หมาป่าละความสนใจ ก็จะลุกขึ้นหนีไป อีกทั้งเสียงร้องของไฮยีนานั้นยังคล้ายกับเสียงหัวเราะ ด้วยเหตุนี้ ทำให้ไฮยีนาได้กลายเป็นตัวละครที่เจ้าเล่ห์ในวัฒนธรรมร่วมสมัย หลายประการ อาทิ เป็นตัวละคร 3 ตัว ที่ชื่อ Shenzi , Banzai และ Ed ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภาพยนตร์การ์ตูน เรื่องThe Lion King ของบริษัท วอลต์ ดิสนีย์ ในปี ค.ศ. 1995 เป็นต้น
ในประเทศไทย มีไฮยีนาเลี้ยงในสวนสัตว์ ต่าง ๆ ได้แก่ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว , สวนสัตว์นครราชสีมา , สวนสัตว์สงขลา , เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เป็นต้น[5]
อ้างอิง บรรณานุกรม Heptner, V. G.; Sludskii, A. A. (1992). "Mammals of the Soviet Union: Carnivora (hyaenas and cats), Volume 2" . Smithsonian Institution Libraries and National Science Foundation. Kruuk, Hans (1972). "The Spotted Hyena: A Study of Predation and Social Behaviour". University of California Press. Kurtén, Björn (1968). "Pleistocene mammals of Europe". Weidenfeld and Nicolson. Macdonald, David (1992). The Velvet Claw: A Natural History of the Carnivores . New York: Parkwest. ISBN 0-563-20844-9 . Mills, Gus; Hofer, Heribert (1998). Hyaenas: status survey and conservation action plan (PDF) . IUCN/SSC Hyena Specialist Group. ISBN 2-8317-0442-1 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ May 6, 2013. Mills, Gus; Mills, Margie (2010). Hyena Nights and Kalahari Days . Jacana Education. ISBN 978-1-77009-811-4 . Pocock, R. I. (1941). "Fauna of British India: Mammals Volume 2" . Taylor and Francis. Rosevear, Donovan Reginald (1974). The carnivores of West Africa . London : Trustees of the British Museum (Natural History). ISBN 0565007238 . อ่านเพิ่ม Funk, Holdger (2010) Hyaena: On the Naming and Localisation of an Enigmatic Animal , GRIN Verlag, ISBN 3-640-69784-7 Lawick, Hugo & Goodall, Jane (1971) Innocent Killers , Houghton Mifflin Company Boston Mills, M. G. L. (2003) Kalahari Hyenas: Comparative Behavioral Ecology of Two Species , The Blackburn Press แหล่งข้อมูลอื่น วิกิพจนานุกรม มีความหมายของคำว่า
ไฮยีนา