จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สงครามจีน–พม่า ส่วนหนึ่งของ สิบการทัพใหญ่ สงครามจีน-พม่า ซึ่งกินระยะเวลาถึง 4 ปีวันที่ ธันวาคม พ.ศ. 2308 – 22 ธันวาคม พ.ศ. 2312 สถานที่ ผล พม่าได้รับชัยชนะ
คู่สงคราม ราชวงศ์ชิง ราชวงศ์โก้นบอง ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ จักรพรรดิเฉียนหลง หลิว จ่าว หยาง อิงจวี หมิงรุ่ย † เอ๋อเอ่อร์เติงเอ๋อ อาหลี่กุย † ฟู่ เหิง † อาหลี่กุ่น †
อากุ้ย พระเจ้ามังระ อะแซหวุ่นกี้ มหาซีตู เนเมียวสีหตู บาลามินดิน เนเมียวสีหบดี เต็งจามินกอง
ปีแยร์เดอมิลารด์หน่วยที่เกี่ยวข้อง กองทัพแปดกองธง
กองธงเขียว
มองโกล
กองทัพไทใหญ่ กองทัพอาณาจักรพม่า ทหารเกณฑ์ชาวพม่า และไทใหญ่ กำลัง ครั้งที่ 1 ทั้งหมด: ทหารราบ 5,000, ทหารม้า 1,000[note 1]
กองธงเขียว 3,500 กองกำลังผสมไทใหญ่ ครั้งที่ 2 ทั้งหมด: ทหารราบ 25,000, ทหารม้า 2,500[note 1]
กองธงเขียว 14,000 นาย กองกำลังผสมไทใหญ่ ครั้งที่ 3 ทั้งหมด: 50,000
แปดกองธงและมองโกล 30,000 กองธงเขียว 12,000 กองกำลังผสมไทใหญ่ ครั้งที่ 4 ทั้งหมด: 60,000
แปดกองธงและมองโกล 40,000 กองธงเขียว และ กองกำลังผสมไทใหญ่ ครั้งที่ 1 ทั้งหมด: ไม่ทราบ
ทหารราบ 2,000, ทหารม้า 200 (กองทัพอาณาจักรพม่า)[note 1] กองหนุนไทใหญ่เมืองกองตน ครั้งที่ 2 ทั้งหมด: ไม่ทราบ
ทหารราบ 4,500, ทหารม้า 200[note 1] ทหารเมืองกองตน ครั้งที่ 3 ทั้งหมด: ~ทหารราบ 30,000, ทหารม้า 2,000[note 2]
ครั้งที่ 4
ทั้งหมด: ~40,000[note 3] ความสูญเสีย 'ครั้งที่ 2: ~20,000 'ครั้งที่ 3: 30,000+[note 4] 'ครั้งที่ 4: 20,000+ ทั้งหมด: 70,000+
ถูกจับ 2,500 ไม่ทราบจำนวน แต่น้อย
สงครามจีน–พม่า (พม่า : တရုတ်-မြန်မာ စစ် , จีน : 中緬戰爭, 清緬戰爭 ) หรือ การบุกพม่าของราชวงศ์ชิง หรือ การทัพพม่าแห่งราชวงศ์ชิง (อังกฤษ : Qing invasions of Burma, Myanmar campaign of the Qing Dynasty ) เป็นสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างราชวงศ์ชิง ของจีน และราชวงศ์โก้นบอง ของพม่า จีนภายใต้จักรพรรดิเฉียนหลง เปิดการรุกรานพม่า 4 ครั้งระหว่างปี 2308 ถึง 2312 ซึ่งถือเป็น 1 ใน สิบการทัพใหญ่ ของพระองค์ อย่างไรก็ตาม สงครามที่คร่าชีวิตทหารจีนไปกว่า 70,000 นายและผู้บังคับบัญชา 4 นาย ได้รับการอธิบายว่าเป็น "สงครามชายแดนที่หายนะที่สุดที่ราชวงศ์ชิงเคยเผชิญมา" และเป็นสงครามที่ "รับประกันเอกราชของพม่า"
การสงครามครั้งนี้เริ่มขึ้นในระหว่างการทำสงครามของอาณาจักรโก้นบองกับอาณาจักรอยุธยา และยาวไปจนถึงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ใน พ.ศ. 2310 ในพงศาวดารพม่าระบุว่า พระเจ้ามังระมีพระราชสาส์นให้นายทหารและแม่ทัพในสงครามคราวนี่เร่งรีบกระทำการ และรีบเดินทางกลับอังวะ เพื่อที่จะเตรียมการรับสงครามคราวนี้[ต้องการอ้างอิง ]
เหตุแห่งสงครามมาจากความขัดแย้งระหว่างพม่ากับจีนในเรื่องหัวเมืองไทใหญ่ ซึ่งกองทัพพม่าได้ยกเข้าดินแดนไทใหญ่และรุกคืบไปเรื่อยๆ ทำให้พวกเจ้าฟ้าไทใหญ่ได้ไปขอความช่วยเหลือจากจีน ซึ่งทั้งสองมีพรมแดนติดต่อกันระหว่างจีนกับพม่าทางมณฑลยูนนาน ในปัจจุบัน ซึ่งเคยมีปัญหามาก่อนตั้งแต่ยุคพระเจ้าบุเรงนอง แห่งราชวงศ์ตองอู โดยในครั้งนี้ราชวงศ์ชิง ซึ่งปกครองโดยจักรพรรดิเฉียนหลง ได้ส่งกองทหารจากแปดกองธงอันเกรียงไกรเข้าทำลายพม่าแต่ก็ต้องผิดหวังทุกครั้ง โดยในระหว่างสงคราม หลิวเจ้าแม่ทัพกองธงเขียว (บุกครั้งที่ 1) หยางอิงจวี่แห่งกองธงเขียว (บุกครั้งที่ 2) รวมถึงพระนัดดาหมิงรุ่ย แห่งกองธงเหลือง (ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้) ขุนพลเอกแห่งราชวงศ์ชิงผู้พิชิตมองโกลและเติร์ก (บุกครั้งที่ 3) ต้องฆ่าตัวตายหนีความอัปยศเพราะความพ่ายแพ้ โดยในการบุกครั้งที่ 4 จักรพรรดิเฉียนหลงได้เรียกเสนาบดีระดับสูงให้มารวมตัวกันครั้งใหญ่ที่สุดในยุคของพระองค์ ประกอบด้วยองค์มนตรีฟู่เหิง แห่งกองธงเหลืองขลิบซึ่งเป็นลุงของหมิงรุ่ยผู้มีประสบการณ์ในการรบกับมองโกลมาแล้วอย่างโชกโชน พร้อมด้วยเสนาบดีอีกหลายนายเช่น เสนาบดีกรมกลาโหมอากุ้ยแห่งกองธงขาว (ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นบิดาบุญธรรมของจักรพรรดิเจี่ยชิ่ง เช่นเดียวกับฟู่เหิง) [12] แม่ทัพใหญ่อาหลีกุ่น รวมทั้งเอ้อหนิงสมุหเทศาภิบาลมณฑลยูนนานและกุ้ยโจว (ภายหลังได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม) ให้เตรียมการบุกพม่าเป็นครั้งที่ 4 และทำพิธีส่งกองทัพนี้อย่างยิ่งใหญ่โดยจักพรรดิเฉียนหลงเป็นประธานในพิธี กองทัพนี้ประกอบไปด้วยกำลังพลจากทั้งแปดกองธงและกองธงเขียว ในครั้งนี้กองทัพต้าชิงสามารถรุกเข้าไปในดินแดนของพม่าได้ลึกพอสมควร แต่กองทัพของเนเมียวสีหบดี ก็กลับมาได้ทัน สงครามเป็นไปอย่างดุเดือดสุดท้ายกองทัพพม่าสามารถล้อมกองทัพต้าชิงเอาไว้ได้ แต่อะแซหวุ่นกี้ ได้ตัดสินใจยุติสงครามที่เปล่าประโยชน์ครั้งนี้ลง ด้วยการบีบให้กองทัพต้าชิงซึ่งติดอยู่ในวงล้อมตัดสินใจเจรจา
สงครามสิ้นสุดลงด้วยการเจรจาและบรรลุสนธิสัญญาก้องโตน โดยยึดเอาแนวเขตพรมแดนเดิม โดยทั้งสองฝ่ายต่างอ้างชัยชนะในสงครามครั้งนี้ และสงครามครั้งนี้ยังทำให้พระเกียรติยศของพระเจ้ามังระ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด หลังจากก่อนหน้านี้กองทัพของพระองค์ก็สามารถพิชิตอยุธยาได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน รวมถึงอะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพฝ่ายพม่าเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา ก่อนที่จะมีบทบาทสำคัญต่อมาอีกหลายครั้งในภายหลังทั้งทางด้านการเมืองและการศึกสงคราม
การบุกทั้ง 4 ครั้งของต้าชิง การบุกครั้งที่ 1 ต้าชิงเลือกใช้กองธงเขียวของมณฑลหยุนหนาน ผสมกับกองกำลังไทใหญ่โดยมีหลิวเจ้าเป็นแม่ทัพ ซึ่งหลิวเจ้าถูกเนเมียวสีหตู แสร้งทำเป็นแพ้ หลิวเจ้าหลงกลตามไป ถูกกองทัพของเนเมียวสีหตูซุ่มโจมตีจนพ่ายแพ้การบุกครั้งที่ 2 ต้าชิงยังเลือกส่งหยางอิงจวี่แห่งกองธงเขียว มาผสมกับกองกำลังไทใหญ่เช่นเดิมหมายพิชิตพม่าให้ได้ แต่บาลามินดิน สามารถต้านทานการบุกของต้าชิงที่เมืองก้องโตนได้อย่างเด็ดขาด ประกอบกับการดักซุ่มโจมตีตัดเสบียงของเนเมียวสีหตู ทำให้กองทัพต้าชิงพ่ายแพ้เป็นครั้งที่ 2การบุกครั้งที่ 3 จักรพรรดิเฉียนหลง เห็นแล้วว่ากองธงเขียวไม่สามารถเอาชนะพม่าได้ จึงได้ส่งกองทัพที่ดีที่สุดของราชวงศ์ชิงในยุคนั้นอย่างกองทัพแปดกองธง และยังส่งแม่ทัพที่เก่งกาจที่สุดคนหนึ่งของราชวงศ์ชิงอย่าง หมิงรุ่ย แห่งกองธงเหลือง ผู้พิชิตมองโกลและซินเจียงมาแล้ว โดยแบ่งกำลังเป็น 2 ส่วน แต่ครั้งนี้กองทัพต้าชิงก็ต้องมาเจอกับแม่ทัพที่ฝีมือดีที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคอย่างอะแซหวุ่นกี้ ที่สามารถวางแผนล่อกองทัพต้าชิงมายังจุดที่ต้องการได้ โดยแสร้งทำเป็นแพ้ให้กองทัพต้าชิงบุกลึกเข้ามาเผชิญหน้ากับพระเจ้ามังระ หมิ่งรุ่ยไม่สามารถเอาชนะได้ทำให้กองทัพถูกตรึงเอาไว้แถบชานเมืองอังวะ ในขณะนั้นเองพระเจ้ามังระได้ตัดสินใจส่งกองกำลังพิเศษของพระองค์นำโดยเนเมียวสีหตู และเตงจามินกองออกไปทำส่งครามกองโจรตัดเสบียงที่ส่งมาจากเมืองแสนหวีอย่างได้ผล ทำให้กองทัพของหมิงรุ่ยที่บุกลึกเข้ามาเริ่มอดอาหาร ส่วนอะแซหวุ่นกี้ก็นำทัพกลับมาตีตลบหลังสามารถยึดเมืองแสนหวี และเมืองต่างๆกลับคืนมาได้หมด ทำให้เส้นทางเสบียงของหมิ่งรุ่ยถูกตัดขาด อีกทางบาลามินดิน ก็สามารถใช้กำลังทหาร 7,000 นาย ต้านทานกองทัพต้าชิง 20,000 นาย เอาไว้ได้ที่เมืองก้องโตน สุดท้ายกองทัพต้าชิงที่บุกทางเส้นนี้ต้องถอยเนื่องจากเสียหายอย่างหนัก ในตอนนี้ทัพรองแตกพ่าย ทัพหนุนถูกทำลาย เส้นทางเสบียงถูกตัดขาด หมิงรุ่ยรู้จุดจบของศึกครั้งนี้ทันที แต่เขาก็เลือกที่จะสู้เป็นครั้งสุดท้ายพร้อมทหารแปดกองธงที่ยังภักดีต่อเขา แต่แล้วกองทัพของพระเจ้ามังระ และอะแซหวุ่นกี้ ก็สามารถพิชิตกองทัพของหมิงรุ่ยลงได้ในยุทธการเมเมียว คำสั่งสุดท้ายของหมิงรุ่ยคือให้ทหารที่เหลือไม่ถึง1พันนายยอมแพ้ ส่วนหมิงรุ่ย เลือกที่จะจบชีวิตตนอย่างมีเกียรติในแผ่นดินอังวะนั่นเองการบุกครั้งที่ 4 จักรพรรดิเฉียนหลง ทรงตกพระทัยเป็นอย่างยิ่งต่อความพ่ายแพ้ของหมิงรุ่ย ยอดแม่ทัพแห่งราชวงศ์ชิง ครั้งนี้พระองค์ทรงเรียกองคมนตรีฟู่เหิง นักการทหารผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าชิง กลับมารับตำแหน่งผู้บัญชาการ รวมถึงเสนาบดีกลาโหมอากุ้ย แม่ทัพใหญ่อาหลีกุน และเอ้อหนิงข้าหลวงใหญ่แห่งยูนานและกุ้ยโจว ซึ่งล้วนแต่เจนจบในพิชัยสงครามให้มารวมตัวกันเพื่อหวังพิชิตพม่าเป็นครั้งที่ 4 โดยคุมกองทัพที่ดีที่สุดของราชวงศ์ชิงอย่างแปดกองธงมาอีกครั้งเพื่อจะสยบพระเจ้ามังระ ให้ได้ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ต้าชิงต้องมาเจอกับยอดแม่ทัพของพระเจ้ามังระอย่าง อะแซหวุ่นกี้ บาลามินดิน เนเมียวสีหตู รวมถึงเนเมียวสีหบดี ที่กลับมาจากการศึกกับอยุธยา ซึ่งทั้งสี่คนนับเป็นหัวใจหลักที่สามารถต้านทานการบุกทั้งทางบกและทางทะเลของต้าชิงเอาไว้ได้ โดยครั้งนี้พระเจ้ามังระได้ส่งกองทัพไปรบแถบชายแดน เพื่อไม่ให้กองทัพต้าชิงรวมตัวกันได้ในพื้นที่ภาคกลางเหมือนการบุกครั้งที่3 การบุกครั้งนี้แม้ฝ่ายจีนจะพยายามอย่างมากในการเข้ายึดเมืองก้องโตนอันเป็นจุดยุทธศาสตร์ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่บาลามินดิน สามารถต้านทานกองทัพต้าชิงเอาไว้ได้ ส่วนอีกด้านหนึ่งกองทัพจีนก็รุกคืบได้ช้ามาก เนื่องจากอะแซหวุ่นกี้ได้ส่งเนเมียวสีหตู คอยทำสงครามปั่นป่วนแนวหลังของต้าชิงเอาไว้ และด้วยความชำนาญการรบแบบจรยุทธของเนเมียวสีหตูนี้เองทำให้กองทัพจีนประสบปัญหาเป็นอย่างมาก เพราะต้องคอยพะวงหลังตลอดการศึก ถึงอย่างนั้นอะแซหวุ่นกี้ เองก็มีกำลังไม่มากพอที่จะเอาชนะต้าชิงในตอนนี้ จนจุดเปลี่ยนสำคัญได้มาถึงเมื่อกองทัพของเนเมียวสีหบดี เสร็จศึกกับอยุธยา ทำให้อะแซหวุ่นกี้ที่ตอนนี้มีกำลังพลมากพอ สามารถเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากที่คอยตั้งรับอย่างเหนียวแน่น เป็นการรุกตอบโต้อย่างเด็ดขาดโดยสั่งทหารเข้าโจมตีจุดสำคัญของต้าชิงพร้อมๆกัน จนทำให้กองทัพต้าชิงที่กระจายตัวอยู่ต้องถอยร่นมารวมตัวกัน จากนั้นอะแซหวุ่นกี้จึงใช้วิธีโอบล้อมโจมตีกองทัพต้าชิงโดยค่อยๆบีบเข้ามาเรื่อยๆ การสู้รบครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือด สุดท้ายกองทัพต้าชิงถูกกองทัพของพม่าล้อมเอาไว้ได้ แม้ชัยชนะจะอยู่ต่อหน้าแล้ว แต่อะแซหวุ่นกี้ก็เลือกจบสงครามครั้งนี้ลง ด้วยการบีบกองทัพต้าชิงที่ติดอยู่ในวงล้อมให้ตัดสินใจเจรจา เกิดเป็นสนธิสัญญาก้องโตน เป็นการจบสงครามระหว่าง พระเจ้ามังระ กับ จักรพรรดิเฉียนหลง ลงในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2312ความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายจักรพรรดิเฉียนหลง พระองค์ต้องสูญเสียมหาบัณฑิตแห่งต้าชิงฟู่เหิง , แม่ทัพใหญ่อาหลีกุน และเสนาบดีกลาโหมที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของราชวงศ์ชิงอย่างหมิงรุ่ย ไปในศึกครั้งนี้ ที่สำคัญแม้พระองค์จะมีทหารกองธงเขียว(ทหารชาวฮั่น) อยู่นับล้านนาย แต่การต้องสูญเสียทหารแปดกองธง(ทหารอาชีพแมนจู) ที่ได้ชื่อว่าเป็นกองทัพดีที่สุดของราชวงศ์ชิงเกือบแสนนาย จากที่มีอยู่สองแสนห้าหมื่นนาย[14] คือความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในยุคของพระองค์ ฝ่ายพระเจ้ามังระ พระองค์ต้องสูญเสียกำลังพลหลักไปเกือบสองหมื่นนายตลอดการศึกทั้งสี่ครั้ง แม้จะน้อยกว่าฝั่งต้าชิงมากแต่เมื่อเทียบอัตราส่วนของจำนวนประชากรแล้วก็นับว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของพระองค์เช่นเดียวกัน ต่างอ้างชัยชนะ ฝ่ายพระเจ้ามังระ อ้างชัยชนะเนื่องจากสามารถชนะสงครามได้ทุกครั้ง สามารถครอบครองอาณาเขตต่างๆได้ตามเดิม และปกป้องแผ่นดินเอาไว้ได้ ฝ่ายจักรพรรดิเฉียนหลง อ้างชัยชนะเนื่องจากหลังจากนี้ 20 ปี พระเจ้าปดุง ยอมส่งบรรณาการให้แก่ต้าชิง อันเป็นการแสดงถึงความนอบน้อมต่อจักรพรรดิเฉียนหลง บทสรุปของสงคราม ฝ่ายราชวงศ์ชิง ในสงครามจีน-พม่า นี้นับเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของราชวงศ์ชิง และถือเป็นรอยด่างเล็กๆของจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์หนึ่งของโลกจักรพรรดิเฉียนหลง แต่ถึงแม้จะไม่สามารถสยบพม่าได้อย่างราบคาบ แต่นั้นก็ทำให้พม่าเห็นถึงศักยภาพในการระดมกองทัพขนาดใหญ่ ที่สามารถสั่นคลอนราชวงศ์โก้นบองได้ตลอดเวลา ฝ่ายราชวงศ์โก้นบอง เป็นการรบครั้งใหญ่ที่สุดและสูญเสียมากที่สุดในยุคของพระเจ้ามังระ แต่นั้นก็ทำให้ได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพระองค์ รวมถึงการใช้คนแบ่งงานให้แม่ทัพแต่ละนายได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ แม้จะสูญเสียทหารไปมากแต่ก็สามารถรักษาแผ่นดินเอาไว้ได้ ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่พระองค์ฝากไว้ให้ราชวงศ์โก้นบอง หลังจากสิ้นยุคพระองค์ไปแล้วขีดความสามารถทางการทหารของพม่าก็ไม่เคยกลับไปอยู่จุดสูงสุดได้อีกเลย[15] หมายเหตุ จำนวนทหารที่อ้างอิงข้างต้นนั้นเป็นการอิงจากพงศาวดารฝ่ายจีนแต่เพียงฝ่ายเดียว ส่วนในบันทึกของฝ่ายพม่านั้นกล่าวว่ากองทัพจีนในครั้งที่ 3 มีจำนวนเกิน 100,000 นาย ส่วนครั้งที่ 4 นั้นอาจมีถึง 150,000-200,000 นาย ส่วนฝ่ายพม่าก็บอกถึงจำนวนที่ใช้รับศึกในครั้งนี้มีถึง 70,000 นายในช่วงแรก และเพิ่มเป็น 120,000 นายหลังการกลับมาถึงของเนเมียวสีหบดี หมิงรุ่ยในพงศาวดารพม่าบันทึกไว้ว่าเป็นราชบุตรเขยของจักรพรรดิเฉียนหลง แต่ในบันทึกของฝ่ายจีนกล่าวว่าหมิงรุ่ยเป็นแต่เพียงหลานของฟู่เหิง ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชายของจักรพรรดินีเสี้ยวเสียนฉุน ฮองเฮาองค์แรกของจักรพรรดิเฉียนหลง โดยลูกของฟู่เหิงอย่าง ฟู่คังอัน ได้รับแต่งตั้งให้มียศเสมอด้วยบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิเฉียนหลง สงครามครั้งนี้มีเสนาบดีกลาโหมของจีนร่วมมาทำศึกด้วยถึง 4 นายประกอบด้วย ฟูเหิง (ภายหลังสละสิทธิเป็นองคมนตรี) หมิงรุ่ย (คนที่สอง), อากุ้ย (คนที่สามได้รับแต่งตั้งหลังหมิงรุ่ยตาย), เอ้อหนิง (คนที่สี่ได้รับแต่งตั้งหลังอากุ้ยตาย) อ้างอิง แหล่งที่มา Burney, Col. Henry (August 1840). Four Years' War between Burmah and China . The Chinese Repository . Vol. 9. Canton: Printed for Proprietors. {{cite book }}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์)Dai, Yingcong (2004). "A Disguised Defeat: The Myanmar Campaign of the Qing Dynasty". Modern Asian Studies . Cambridge University Press. doi :10.1017/s0026749x04001040 . {{cite journal }}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์)Fernquest, Jon (Autumn 2006). "Crucible of War: Burma and the Ming in the Tai Frontier Zone (1382–1454)". SOAS Bulletin of Burma Research . 4 (2). {{cite journal }}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์)Giersch, Charles Patterson (2006). Asian borderlands: the transformation of Qing China's Yunnan frontier . Harvard University Press. ISBN 0-674-02171-1 . {{cite book }}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์)Hall, D.G.E. (1960). Burma (3rd ed.). Hutchinson University Library. ISBN 978-1-4067-3503-1 . {{cite book }}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์)Harvey, G. E. (1925). History of Burma: From the Earliest Times to 10 March 1824 . London: Frank Cass & Co. Ltd. {{cite book }}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์)Haskew, Michael E., Christer Joregensen, Eric Niderost, Chris McNab (2008). Fighting techniques of the Oriental world, AD 1200–1860: equipment, combat skills, and tactics (Illustrated ed.). Macmillan. ISBN 978-0-312-38696-2 . {{cite book }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )Htin Aung, Maung (1967). A History of Burma . New York and London: Cambridge University Press. {{cite book }}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์)Jung, Richard J. K. (1971). "The Sino-Burmese War, 1766–1770: War and Peace Under the Tributary System". Papers on China . Vol. 24. {{cite news }}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์)George C. Kohn (2006). Dictionary of wars . Checkmark Books. ISBN 0-8160-6578-0 . {{cite book }}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์)Kyaw Thet (1962). History of Union of Burma (ภาษาพม่า). Yangon : Yangon University Press. {{cite book }}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์)Lieberman, Victor B. (2003). Strange Parallels: Southeast Asia in Global Context, c. 800–1830, volume 1, Integration on the Mainland . Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-80496-7 . {{cite book }}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์)Myint-U, Thant (2006). The River of Lost Footsteps—Histories of Burma . Farrar, Straus and Giroux. ISBN 978-0-374-16342-6 . {{cite book }}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์)Sir Arthur Purves Phayre (1884). History of Burma: including Burma proper, Pegu, Taungu, Tenasserim, and Arakan. From the earliest time to the end of the first war with British India . Trübner & co. Whiting, Marvin C. (2002). Imperial Chinese Military History: 8000 BC – 1912 AD . iUniverse. pp. 480–481. ISBN 978-0-595-22134-9 . {{cite book }}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์)Woodside, Alexander (2002). Willard J. Peterson (บ.ก.). The Cambridge history of China: The Ch'ing Empire to 1800, Volume 9 . United Kingdom: Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-24334-6 . {{cite book }}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์)Draft History of Qing , Chapter 327, Biographies 114 《清史稿》卷327 列傳一百十四 (ภาษาจีน). China.
กษัตริย์ สงครามที่สำคัญ ที่ประทับ